เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป ประกาศเดินแผนตามโรดแมพ MASTERPLAN FOR TOMORROW จ่อเปิดตัว 37 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 47,150 ล้านบาท พร้อมรุกแนวราบต่างจังหวัดครั้งแรก หนีหัวเมืองท่องเที่ยวแข่งดุ เจาะพื้นที่หัวเมืองรอง ราคา 1-2 ล้านบาท  นำร่องจ.นครศรีธรรมราช แห่งแรก คาดปีนี้ขยายทั่วภูมิภาคได้ 4-5 โครงการ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ตั้งเป้ากวาดยอดขายรวม 33,500 ล้านบาท และรายได้แตะ 40,550 ล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่าปี 2563 นี้ถือเป็นปีแห่งความท้าทายของทุกธุรกิจทั้งบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามามีผลกระทบต่อหลายภาคธุรกิจ คู่แข่งจากนอกธุรกิจ (Unknown Unknown Competitors) ที่พร้อมจะเข้ามาแชร์ตลาด ด้วยความพร้อมทั้งเงินทุนและข้อมูลแบบที่ไม่ทันตั้งตัว ความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า ตลอดจนปัจจัยต่างๆ ทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้น ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น  แต่เชื่อว่าด้วยวิสัยทัศน์และการปรับปรุงองค์กรของเอพี ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทฯมีความแข็งแกร่งสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ตลอดจนนำพาองค์กรก้าวเดินไปสู่การเติบโต พร้อมการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจในเวลาเดียวกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 นี้ บริษัทฯจะดำเนินงานตามโรดแมพ MASTERPLAN FOR TOMORROW ด้วยการเดินหน้าขยายขอบเขตการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนางานก่อสร้างให้มีคุณภาพ ด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำงานทั้งระบบไปสู่กระบวนการ (Building Information Modeling : BIM) ที่ส่งผลให้ลูกค้าได้รับอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ ลดข้อบกพร่องที่อาจส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


โดยในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะเปิดตัว 37 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 47,150 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าแนวราบจำนวน 33 โครงการ มูลค่ารวม 35,050 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 12,100 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวในครึ่งปีแรกจำนวน 19 โครงการ มูลค่าประมาณ 23,290 ล้านบาท เป็นแนวราบ 17 โครงการ มูลค่า 17,790ล้านบาท

และปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทฯรุกอสังหาฯแนวราบในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก ซึ่งจะเน้นพัฒนาในพื้นที่หัวเมืองรอง มากกว่าหัวเมืองท่องเที่ยวหลักที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว โดยวางแผนว่าในปีแรกจะพัฒนาทั้งสิ้น 4-5 โครงการ กระจายในทุกภูมิภาค ซึ่งแต่ละโครงการอาจจะมีการมิกซ์รวมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ ระดับราคาประมาณ 1-2 ล้านบาท รวมไว้ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งประเดิมโครงการแรกที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเมืองที่มีศักยภาพมาก การแข่งขันยังไม่รุนแรงมากนัก โดยได้ซื้อที่ดินไว้ส่วนหนึ่งแล้ว และคาดว่าจะมีการซื้อที่ดินเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง ส่วนแบบบ้านอยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในประมาณไตรมาส3/2563

ทั้งนี้การขยายธุรกิจนั้นต้องตามหาดีมานด์ใหม่ๆ และเชื่อว่าดีมานด์ในกรุงเทพฯยังมีอีกมาก แต่ในอนาคตนั้นไม่สามารถตอบได้ว่าดีมานด์จะมีอีกมากเพียงใด ดังนั้นการรุกตลาดแนวราบในต่างจังหวัดในครั้งนี้ ก็เหมือนไปทดสอบตลาดก่อน ซึ่งเราจะเข้าไปดีลกับพันธมิตรในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น

“การขยายไปตลาดต่างจังหวัดครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดตลาดสินค้าแนวราบของเอพีให้กว้างขึ้นแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงพื้นที่เพื่อศึกษา และเรียนรู้ความต้องการในมิติใหม่ของคนไทยในแต่ละภูมิภาค โดยสินค้าที่จะนำไปพัฒนานั้นเป็นทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านแฝด ซึ่งแบบบ้านที่จะนำไปพัฒนานั้น อยู่ระหว่างการออกแบบเพื่อให้สอดรับกับความต้องการและพฤติกรรมของคนในแต่ละพื้นที่ ตามคอนเซ็ปต์ Dynamic Personalized Model การออกแบบและพัฒนาโครงการที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบและคอนเซ็ปต์ดีไซน์ตามลิฟวิ่งแพทเทิร์น (Living Pattern) ที่แตกต่างกันของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละทำเล”  นายวิทการ กล่าว

นายวิทการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้โครงการแนวราบยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการซื้อโครงการแนวราบที่สูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา โครงการแนวราบ สามารถทำยอดขายได้สูงเฉลี่ย 300 ล้านบาท/สัปดาห์ ขณะที่การขายโครงการคอนโดมิเนียม ยังสามารถทยอยขายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถือว่ายังมีการซึมของตลาดอยู่ จากยอดขายที่ลดลงเล็กน้อยในช่วง 8 สัปดาห์แรกของปีนี้ ที่ทำยอดขายได้ 700 ล้านบา ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขายได้ 800 ล้านบาท แต่ถือว่ายอดขายคอนโดมิเนียมดังกล่าวยังคงทำได้ดี แม้ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯยังไม่มีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ก็ตาม

“การที่ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่หันมารุกตลาดแนวราบกันมากขึ้นนั้น เราไม่ค่อยหวั่นมากนัก เพราะมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการแนวราบมานาน เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการคิด เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ทั้งด้านพื้นที่ใช้สอย ราคา การพัฒนาโครงการอย่างมีคุณภาพ การบริการหลังการขาย และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในโครงการ”นายวิทการ กล่าว

และเพื่อเป็นการรองรับการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ บริษัทฯ จึงได้ยกระดับยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนองค์กรให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ภายใต้พันธกิจ EMPOWER LIVING คือ การดำเนินงานที่พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนในสังคม สามารถเติมเต็มทุกเป้าหมายชีวิตได้ตามที่ปรารถนา ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิต ทั้งยังใช้เป็นเข็มทิศในการก้าวเดินให้กับพนักงานเครือ AP THAILAND GROUP มองเห็นเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจนและเป็นภาพเดียวกันมากยิ่งขึ้น โดยขับเคลื่อนผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญที่จะเป็นโรดแมพ ที่จะตอบสนองเป้าประสงค์หรือความปรารถนาในการดำเนินชีวิตของลูกค้าให้เกิดขึ้นจริงในเร็ววัน ดังนี้

1.AP THAILAND VALUES  มุ่งสร้างค่านิยมที่จะเป็นดีเอ็นเอสำคัญในการหล่อหลอมบุคลากรกว่า 2,000 คนภายใน 6 องค์กรเครือเอพี ให้มีพฤติกรรมที่พร้อมส่งมอบนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบสนองเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกันของลูกค้าได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์ที่สุด

2.MASTERPLAN FOR TOMORROW การเดินหน้าขยายขอบเขตในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งการอยู่อาศัยคุณภาพให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

3.DESIGNING YOUR FUTURE การมุ่งแสวงหาความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ หรือ Unmet Needs ของลูกค้า เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้า และนวัตกรรมบริการ หรือ Creative Solution ใหม่ๆ ที่มีคุณค่าและยกระดับชีวิตในวันนี้ให้ดียิ่งขึ้น

4.POWER OF ECOSYSTEM การสร้างระบบนิเวศที่จะช่วยสนับสนุนการมีคุณภาพชีวิตที่ดีแบบครบวงจร

นอกจากนั้นแล้ว ยังพร้อมต่อยอดเป้าหมาย EMPOWER LIVING ไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการ ผ่านบริษัทในเครือ ครอบคลุมทุกมิติชีวิต ได้แก่ LIFELONG LEARNING การพัฒนาความรู้ความสามารถของคนตลอดช่วงชีวิต โดย SEAC (เอสอีเอซี) ด้วย 3 รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business Model) ที่พร้อมส่งเสริมและจุดประกายการเรียนรู้และการรีสกิลในทุกสเต็ปของชีวิต ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ด้วยโมเดล Executive Learning กลุ่มคนทำงานอายุระหว่าง 20-40 ปีกับหลักสูตร​ YourNextU การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่เลือกเรียนเองได้ และเรียนซ้ำอย่างไม่จำกัด และ YourNextU Young หลักสูตรใหม่สำหรับเยาวชนอายุตั้งแต่ 10-17 ปี เพื่อมุ่งเสริมสร้างน้องๆ ให้มีความเข้าใจในตนเอง เข้าใจคนรอบข้าง เข้าใจสภาพแวดล้อมและปรับตัวเข้ากับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาดและมีความสุข และ HEALTH & AGEING การส่งเสริมให้คนมีสุขภาพที่แข็งแรงและบริการรูปแบบใหม่เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย โดย CLAYMORE (เคลย์มอร์) Innovation Lab ที่จะนําเสนอนวัตกรรมบริการใหม่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการดํารงอยู่ของคนในสังคมวันนี้และในอนาคต

“วันนี้ลูกค้ามาพร้อมกับความคาดหวังมากมาย ทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สภาพแวดล้อมที่ดีและสังคมที่มีคุณภาพ รวมไปถึงการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ดังนั้น บทบาทหน้าที่ของบริษัท วาริ จำกัด (VAARI) คือการผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับการทำความเข้าใจลูกค้าเชิงลึก จึงได้ร่วมมือกับ ‘อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส’ ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่ครอบคลุม และมีการใช้งานมากที่สุดในโลก เปิดตัว ‘SMART WORLD’ ไลฟ์ เมเนจเมนท์ แพลตฟอร์ม ที่จะเข้ามาช่วยเอ็มพาวเวอร์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ด้วยแผนมุ่งสร้างระบบนิเวศที่พร้อมสนับสนุนการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในแบบที่ปรารถนา ทั้งการติดต่อหรือใช้บริการต่างๆ จากทางนิติบุคคล สิทธิพิเศษต่างๆ จากพาร์ทเนอร์ ตลอดจนช่วยสนับสนุนการทำงานของบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จํากัดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมนำบริษัท SMART SERVICE & MANAGEMENT ในเครือเอพีก้าวไปสู่การเป็น Digital Property Management อย่างเต็มรูปแบบ” นายวิทการ กล่าว

อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 33,500 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทฯ มีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเตรียมส่งมอบจำนวน 4 โครงการ โดยเป็น 2 โครงการร่วมทุน คือ

LIFE ลาดพร้าว มูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเดือนเมษายน 2563 เป็นต้นไป

LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,800 ล้านบาท พร้อมโอนฯ ช่วงไตรมาส 3 ของปี โดยทั้ง 2 โครงการมียอดขายไปแล้วทั้งสิ้น 93%

และคอนโดฯที่เอพีพัฒนาเองอีกจำนวน 2 โครงการ คือ

ASPIRE สุขุมวิท-อ่อนนุช มูลค่า 1,600 ล้านบาท เริ่มโอนเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นี้

ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่า 2,900 ล้านบาท เริ่มโอนประมาณไตรมาส 3 ของปี และตั้งเป้ารายได้รวม 100% โครงการร่วมทุนที่ 40,550 ล้านบาท

โดย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 51,987 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าประมาณ 8,387 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม มูลค่า 43,601 ล้านบาท (แบ่งเป็นคอนโดเอพี มูลค่า 4,328 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ ในปีนี้ประมาณ 2,792 ล้านบาท และเป็นโครงการร่วมทุน มูลค่า 39,273 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ ประมาณ 13,768 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566

ด้านผลการดำเนินงานปี 2562 ที่ผ่านมา เปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้นรวมมูลค่า 47,860 ล้านบาท จำนวน 27 โครงการ สร้างยอดขายรวมได้ 32,857 ล้านบาท รายได้รวมเท่ากับ 32,452 ล้านบาท (รวม 100% โครงการร่วมทุน) กำไรสุทธิ 3,064 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*