ชีวาทัยฯมองตลาดอสังหาฯปี63 ยังไม่สดใส คาดGDPต่ำกว่า 2% สะเทือนกำลังซื้อชะงัก รายใหญ่แข่งเดือดหันเจาะตลาดกลาง ดัมพ์ราคาหวังระบายสต๊อก วอนธปท.ผ่อนปรนLTVอีก เปิดแผนปีนี้ผุด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3,602 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้แตะ 2,000 ล้านบาท
นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์ของตลาดอสังหาฯในปี   2563 ว่า ยังไม่สดใสมากนัก เนื่องจากแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) ที่ลดลง เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำลงทำให้การตัดสินใจซื้อชะลอตัวตามไปด้วย หากสภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวเช่นนี้ก็จะยิ่งส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่มีราคาสูง เช่น บ้าน และ รถยนต์  ขณะเดียวกันหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อันเนื่องมาจากสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่วนมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะผ่อนปรนมาตรการลงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทางบริษัทฯมองว่าธปท.ควรที่จะผ่อนปรนมาตรการมากกว่านี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและตลาดอสังหาฯให้ฟื้นตัวกลับมา

“กลยุทธ์การทำการตลาดในปีนี้มองว่ายังมีการแข่งขันที่สูงต่อเนื่องจากปีก่อน เพราะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดหันมาพัฒนาโครงการในตลาดระดับกลาง ที่เป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศมากขึ้น  และมีการทำสงครามราคากันอย่างต่อเนื่อง เพื่อมาทดแทนผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่กระทบต่อกลุ่มลูกค้าระดับบน กลุ่มลูกค้านักลงทุน และชดเชยกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่หายไปจากตลาดค่อนข้างมาก ซึ่งจะเห็นว่าผู้ประกอบการรายใหญ่นำงบการตลาดมาใช้การทำราคาและการทำการตลาดมากขึ้นเพื่อระบายสต๊อกของคอนโดมิเนียม ซึ่งทำให้การขายของบริษัทเผชิญกับความท้าทายค่อนข้างมากต่อเนื่องมาในปีนี้” นายบุญ กล่าว

นายบุญ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมาตรการ LTV ได้ส่งผลกระทบทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทฯเพิ่มขึ้นมากกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้มาอยู่ที่ 50% จากเดิมที่ 10-20% ส่งผลให้บริษัทมีผลกระทบในการโอนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีการเตรียมความพร้อมของลูกค้าล่วงหน้า โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ฮอลล์มาร์ค จรัญ 13 ที่ปัจจุบันได้ให้ลูกค้าทยอยให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อ ซึ่งมีเพียงลูกค้า 1 รายที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียม ฮอลล์มาร์ค จรัญ 13 มียอดขายแล้ว 30-40%

“ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายอีกหนึ่งปี หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยกดดันยังมีความยืดเยื้อ ก็มองว่า GDP ไทย จะเติบโตได้ไม่ถึง 2% ซึ่งสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมาก ซึ่งทางบริษัทฯเองก็จะต้องระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น และจากปัจจัยดังกล่าว มองว่ายังจะเป็นโอกาสในการใช้กลยุทธ์สร้างระบบการทำงานภายในให้แข็งแกร่งเพื่อเตรียมความพร้อม เช่น การศึกษาและสำรวจการเลือกซื้อที่ดินและทำเลที่ตั้งโครงการใหม่ๆ,การออกแบบและควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์, รวมถึงการสร้างความแตกต่างด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานและความหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกสรรมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพราะว่าในปัจจุบันความต้องการของลูกค้าได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทำให้เราจึงเน้นเรื่องนี้เป็นสำคัญ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย”นายบุญ กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินการของบริษัทฯในปีนี้ ได้ตั้งงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการของปีนี้จำนวน 858 ล้านบาท จากแผนการเปิดตัวใหม่ทั้งหมด 4 โครงการ รวมมูลค่ารวม 3,602 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 2,266 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการชีวาโฮม กรุงเทพ-ปทุม มูลค่าโครงการ 903 ล้านบาท ที่ได้เปิดตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์

2.โครงการชีวาโฮม รังสิต-ปทุม มูลค่าโครงการ 1,093 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 2/2563

3.โครงการฮาร์ท สุขุมวิท 36 มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 1/2563 โดย CHEWA มีการถือหุ้นในสัดส่วน70%

ส่วนอีกโครงการเป็นแนวสูง ภายใต้แบรนด์ “ชีวาทัย อินเตอร์เชนจ์ ลำสาลี” มูลค่าโครงการ 1,336 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส4/2563

ด้านความคืบหน้าโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณ ระดับลักชัวรี ภายในโครงการมอนท์ เอซัวร์ บริเวณหาดกมลา จ. ภูเก็ต ที่เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรคือ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ถือหุ้น28.5% , บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 25%, บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 25% ,บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)ถือหุ้น 20% และอีก 10% ถือในนามบุคคล ก่อตั้งบริษัท กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง จำกัด  ร่วมกันพัฒนาโครงการ “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” ล่าสุดได้เปลี่ยนชื่อโครงการดังกล่าวเป็น OTIUM PHUKET” โดยได้เปิดพรีเซลในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

นอกจากนี้บริษัทฯยังคงหาโอกาสในทางธุรกิจจากการร่วมทุนกับพันธมิตรอื่นๆ โดยเฉพาะพันธมิตรจากต่างประเทศที่สนใจเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการในประเทศไทย  ซึ่งในปี 2562 ที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่เนื่องจากการร่วมทุนโครงการเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯในประเทศยังไม่เอื้ออำนวย ผลการเจรจาจึงยังไม่ได้ข้อสรุป

ขณะที่แผนการออกหุ้นกู้ในปีนี้วางแผนออกหุ้นกู้ชุดใหม่มูลค่า 1,200 ล้านบาท อายุ 2 ปี ในช่วงเดือนกันยายน 2563 เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในเดือนกันยายน 2563 ไว้รองรับสภาพคล่องและการลงทุนของบริษัท ซึ่งในปีนี้บริษัทคาดว่าจะลงทุนก่อสร้างโรงงานให้เช่าแบบ Ready Build ในระยองเพิ่มอีก 4 อาคาร  เงินลงทุน 100 ล้านบาท จากเดิมที่มี 10 อาคาร หลังจากเห็นความต้องการใช้โรงงานในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development : EEC)มากขึ้น และมีลูกค้าเตรียมเข้ามาเช่าในส่วนที่สร้างใหม่แล้ว

อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,154 ล้านบาท เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 1,572 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2563 อยู่ที่ 796 ล้านบาท โดยส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*