• ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) และดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 72 เดือน โดยครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นในเกือบทุกมิติการครองชีพทั้งในปัจจุบันและในช่วงระยะ 3 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรายได้และการจ้างงานที่สัญญาณการเลิกจ้างยังอยู่ในอัตราสูง และประเด็นเรื่องระดับราคาสินค้าในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นในหลายหมวดสินค้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนม.ค. 2563
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จะเผชิญความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น หลังจากที่สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและปัญหาภัยแล้งด้วยแล้วนั้น ก็น่าจะส่งผลให้กำลังซื้อของครัวเรือนไทยชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. น่าจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง

 

ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ต่างจังหวัดปรับตัวลดลงจากระดับ 42.4 ในเดือนธ.ค. 2562 มาอยู่ที่ระดับ 40.6 ในเดือนม.ค. 2563 นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 72 เดือน จากความกังวลของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติการครองชีพ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรายได้และการมีงานทำของตนเอง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องสถานการณ์การจ้างงานในองค์กรที่ครัวเรือนสังกัดหรือเป็นเจ้าของ พบว่า ร้อยละ 43.6 ของครัวเรือนไทยที่ทำการสำรวจในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลชี้ว่า องค์กรที่ตนเองสังกัดหรือเป็นเจ้าของมีการปรับตัวในด้านการจ้างงานท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอรับพนักงานใหม่ การลดเวลาทำงานล่วงเวลาของพนักงาน รวมถึงการเลิกจ้างที่ยังมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 7.4 ของครัวเรือนที่ทำการสำรวจ สอดคล้องไปกับจำนวนโรงงานที่ขอปิดกิจการ (จำหน่ายทะเบียน) ในเดือนม.ค. 2563 ที่อยู่ที่ 222 โรงงาน เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 63.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า จะเห็นว่า ในเดือนม.ค. 2563 องค์กรที่ครัวเรือนสังกัดหรือเป็นเจ้าของมีการปรับตัวทางธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับเดือนต.ค. 2562 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงจำนวนการจ้างงานในประเทศที่น่าจะลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563

นอกจากนี้ ระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในบางหมวดสินค้าทยอยส่งผลกระทบมากขึ้นต่อการครองชีพของครัวเรือนไทยในเดือนม.ค. 2563 โดยเฉพาะราคาสินค้าในหมวดอาหารสดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลของหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะภัยแล้ง มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในต่างประเทศที่มีส่วนผลักดันราคาเนื้อสัตว์ในประเทศให้สูงขึ้น รวมไปถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผลักดันราคาเป็ดไก่ให้สูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น นอกจากราคาอาหารสดแล้ว ราคาเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ก็ปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนม.ค. 2563 หลังเกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) และปัญหาเรื้อรังของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตของครัวเรือนไทย

ในขณะที่ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) อยู่ที่ระดับ 40.5 ในการสำรวจช่วงเดือนม.ค. 2563 ทรุดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 42.2 โดยครัวเรือนมีความกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของตนเองในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (เดือนก.พ.-เม.ย. 2563) โดยเฉพาะประเด็นเรื่องระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศที่ครัวเรือนมองว่าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า หลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่สร้างความหวั่นวิตกให้แก่ครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้สินค้าเวชภัณฑ์บางรายการหาซื้อตามท้องตลาดได้ยากและมีราคาแพงขึ้นมาก อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.25 เป็นร้อยละ 1.00 ต่อปี ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่งต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลงตามไปด้วย ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของครัวเรือนและหล่อเลี้ยงสภาพคล่องของภาคธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง

โดยสรุปแล้ว ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในปัจจุบัน (KR-ECI) และดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (3-month Expected KR-ECI) ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 72 เดือน จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติการครองชีพของครัวเรือน ทั้งในฝั่งรายได้ที่ลดลงและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สูงขึ้น หลังมีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ประกอบกับหลายพื้นที่ในประเทศไทยยังเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากที่เปราะบางอยู่แล้ว จากผลกระทบของเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่องและปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับทำการเกษตรจากภาวะภัยแล้ง จะเปราะบางมากยิ่งขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงทางด้านการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพที่สูงขึ้น ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง หลัง กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี ก็น่าจะมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง

 

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*