วัน ออริจิ้น” วางแผนโตระยะยาว เผยเตรียมเปิด โรงแรม-ออฟฟิศ-รีเทล มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาทผ่านโมเดล “Open Platform: เติบโตไปด้วยกัน” พันธมิตรหลายรายสนใจเข้าร่วมลงทุน มั่นใจโรงแรมสร้างเสร็จใหม่ 2 แห่งหนุนปี 63 และคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรให้กับกลุ่มบริษัทฯ 500 ล้านบาทต่อปีภายในปี 2568

 

นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  (ORI) เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้ 5 ปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่มุ่งมั่นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก โดยวางแผนการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว “เราไม่ได้ปรับแผนการทำงานใหม่แต่เป็นการ top up แผนเพิ่มเข้ามาเสริมโอกาสทางธุรกิจมากกว่า” ด้วยการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจภายใต้แนวคิดใหม่ผ่านโมเดล “Open Platform : เติบโตไปด้วยกัน” ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่

  • การลงทุนในลักษณะพันธมิตรร่วมทุน (JV Partner)
  • การเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการโรงแรมในเครือ (Hotel Operator)
  • การเข้ามาเป็นผู้เช่าพื้นที่ (Tenant
  • ผู้บริหารพื้นที่เช่า (Property Leasing and Management
  • เจ้าของที่ดิน (Land Owner) ที่มีที่ดินพร้อมร่วมลงทุนพัฒนากับวัน ออริจิ้น

การดำเนินธุรกิจผ่านโมเดลดังกล่าวนี้ บริษัทฯ เปิดกว้างสำหรับบริษัทอื่นๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นโมเดลที่เปิดกว้างเรื่อง Synergy สอดคล้องกับการปรับตัวของภาคธุรกิจทั่วโลก มาผสมผสานกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มธุรกิจ หรือ Business Purpose ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต เพื่อให้บริษัทฯ สามารถก้าวไปได้อย่างมั่นคง

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และทยอยเปิดให้บริการจนถึงปี 2566 รวมไม่น้อยกว่า 11 โครงการ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมมูลค่าโครงการกว่า 20,000 ล้านบาท (ประมาณการมูลค่าสินทรัพย์รวม) ประกอบด้วย

 1.โรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รวมไม่น้อยกว่า 3,420 ห้องพัก ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ มุ่งเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (Business Purpose) และกลุ่ม Budget Hotel ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเสถียรภาพและมีอัตราการเข้าพักที่สม่ำเสมอทั้งในช่วงโลว์ซีซั่นและไฮซีซั่น

2.กลุ่ม Commercial Space เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า พื้นที่ค้าปลีก รวมไม่น้อยกว่า 16,000 ตางรางเมตร (ตร.ม.)

โครงการที่พัฒนาส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Mixed-use ผสมผสานการใช้ประโยชน์ด้วยอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท สร้างรายได้จากหลายรูปแบบ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และทำให้แต่ละโครงการมีศักยภาพพร้อมเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของทำเลนั้นๆ ทั้งนี้กว่า 11 โครงการดังกล่าวนั้นใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท และได้ลงทุนพัฒนาไปแล้ว 8 โครงการที่เหลืออีก 3 โครงการอยู่ในแผนการลงทุนในอนาคต

สำหรับกลุ่ม Budget Hotel นอกจากจะเป็นการซื้อกิจการจากเจ้าของอาคารแล้ว ยังจะเป็นลักษณะของการร่วมทุนกับผู้ประกอบการเจ้าของอาคารอพาร์ตเมนต์ให้เช่าโดยบริษัทฯจะถือหุ้น 51% ที่เหลือ 49%  จะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่หลายรายที่ไม่ต้องการทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่าและต้องการปรับมาเป็น Budget Hotel มีขนาดห้องพักจะอยู่ที่ประมาณ 150-200 ห้อง ตั้งอยู่ในทำเลที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้า การลงทุนดังกล่าวนอกจากจะสร้างรายได้ผ่านการร่วมทุนแล้ว บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการรับบริหารจัดการด้วย

“วันนี้ เรามีบุคลากรและพันธมิตรที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เชิงพาณิชย์รวมตัวกันอยู่อย่างครบถ้วน มีที่ดินในทำเลศักยภาพที่ผ่านการคัดสรรและวิเคราะห์วิจัยตลาดมาเป็นอย่างดี พร้อมพัฒนาทุกโครงการตามแผน การเปิดรับพันธมิตรใหม่ๆ มาร่วมลงทุนและร่วมขับเคลื่อนใน Open Platform ของเราก็จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจและจุดเด่นที่แตกต่างกันให้กับแต่ละโครงการ และช่วยให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของธุรกิจอสังหาฯ เชิงพาณิชย์” นายปิติพงษ์ กล่าว

ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท (ประมาณการมูลค่าสินทรัพย์รวม) มีโครงการที่ก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแบบ Soft Opening แล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง รวม 650 ห้องพัก ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญของทั้งบริษัทและพันธมิตรดั้งเดิมอย่างบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น และ Hotel Operator ชั้นนำของโลกอย่างเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG)

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่รอการพัฒนาและอยู่ระหว่างการพัฒนาในหลากทำเล อาทิ พญาไท สุขุมวิท รามอินทรา ศรีราชา ระยอง ฯลฯ โดยมีพันธมิตรใหม่สนใจร่วมลงทุนเพิ่มใน 3 โครงการ ขณะเดียวกัน บริษัท ยังมองหาโอกาสการควบรวมและ/หรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อช่วยสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย จากแผนงานของบริษัทฯ ภายในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรให้กับกลุ่มได้ 500 ล้านบาทต่อปีตามแผน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*