เอสซีจี เซรามิกส์ แจงประกอบการปี 2562 กำไรเพิ่มขึ้น 158 ล้านบาท  เร่งแผนงานเสริมความแข็งแกร่งช่องทางขาย จับมือพันธมิตรรุกขยายสาขา “คลังเซรามิค” โมเดลใหม่ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด ตั้งเป้าหมายจะขยายสาขาให้ได้ถึง 100 สาขาภายในปี 2023

 

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA)   เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 4 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,545 ล้านบาท ลดลง 6 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Q4/2561)และลดลง 7 % จากไตรมาสก่อน (Q3/2562)โดยมีผลขาดทุน 70 ล้านบาท ลดลง 207%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 180 %จากไตรมาสก่อน  เนื่องจากสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำในส่วนของแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกันเป็นเงิน 85 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการปี 2562  บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 11,074  ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ประมาณ 4 % โดยมีกำไรสุทธิรวม 168  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 158 ล้านบาท  โดยมีปัจจัยสำคัญจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงตามราคาก๊าซธรรมชาติ รวมถึงความสามารถในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ประกอบกับสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร การขายและการตลาดได้ตามเป้าหมาย และมีกำไรจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน

ในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออก 1,946 ล้านบาท และรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 1,370 ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2562  มีรายได้จากการส่งออก 466 ล้านบาท คิดเป็น 18 % ของยอดขายรวมลดลง12 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีปริมาณขายในภูมิภาคอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 17 %ของปริมาณขายรวม ลดลง 3 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในส่วนของยอดขายตลาดต่างประเทศลดลงจากปีก่อน 23 % ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของสงครามการค้า รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อยอดขายกระเบื้องเซรามิกในทุกพื้นที่  โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศอื่น ๆ ที่นอกเหนือจาก กัมพูชา ลาว และ พม่าด้านสถานการณ์ตลาดเซรามิกในประเทศ ไตรมาสที่ผ่านมา ไม่มีการเติบโตและติดลบเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว                 ประกอบกับความกังวลใจเรื่องภัยแล้ง

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมของปี 2562 จากการที่รัฐบาลเร่งดำเนินโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economy Corridor หรือ EEC) ตลอดจนมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นตลาด และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหลังเกิดภาวะน้ำท่วม ทำให้ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯมียอดขายกระเบื้องเซรามิกในประเทศใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ล่าสุด เพื่อให้การขยายสาขาเป็นได้อย่างรวดเร็วตามแผนงานที่ตั้งเป้าหมายจะขยายสาขาให้ได้ถึง 100 สาขา ภายในปี 2023 บริษัทฯ จึงได้พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ “คลังเซรามิค แฟมิลี” ซึ่งเป็นการร่วมมือกับผู้แทนจำหน่ายที่มีศักยภาพเปิดสาขา “คลังเซรามิค” ร่วมกัน  เนื่องจากทั้งสองฝ่าย คือ บริษัทฯ และผู้แทนจำหน่ายต่างมีจุดแข็ง คือ บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตสินค้าที่ครอบคลุมตลาดทุกระดับ ในขณะที่ผู้แทนจำหน่ายมีฐานลูกค้าและความสัมพันธ์กับผู้บริโภคในพื้นที่และมีทำเลที่ตั้งของร้านเหมาะสม เมื่อผนึกกำลังกันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าเพราะ “คลังเซรามิค” จะอยู่ในพื้นที่เดียวกับร้านผู้แทนจำหน่ายซึ่งเป็นทำเลที่ลูกค้าคุ้นเคยดีอยู่แล้ว สามารถเข้ามาใช้บริการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นด้วย

ในปีที่ผ่านมา “คลังเซรามิค” ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกกระเบื้องเซรามิกสำหรับตลาดระดับกลางลงมา มียอดขายและการเติบโตเป็นที่น่าพอใจมาก โดยมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาบริษัทฯ จึงต้องการที่จะเร่งขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายให้เร็วขึ้น โดยมองว่ามีโอกาสที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ มีพันธมิตรอยู่ในทุกพื้นที่คือ ร้านผู้แทนจำหน่ายที่มีศักยภาพสูง มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการขายสินค้าเซรามิกมายาวนาน ที่สำคัญ เป็นที่รู้จักของลูกค้าในพื้นที่จึงได้มีการพูดคุยนำเสนอแผนธุรกิจและตกลงร่วมมือกันเปิดสาขา “คลังเซรามิค แฟมิลี” ในพื้นที่ของร้านผู้แทนจำหน่าย เพื่อเป็นการเร่งขยายเพิ่มจำนวนสาขาให้เร็วขึ้น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงเราได้สะดวกที่สุดและมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการที่ดีได้มาตรฐานเดียวกันทุกสาขา ล่าสุดได้ร่วมมือกับผู้แทนจำหน่าย  คือ บริษัท ไถ่เชียงระนอง จำกัด  เปิดคลังเซรามิค แฟมิลี สาขาแรกที่จังหวัดระนอง และอยู่ระหว่างการดำเนินการกับ บริษัท ชลบุรีอึ้งย่งล้ง จำกัด และ บริษัทนาบอน วัสดุภัณฑ์ จำกัด เพื่อเปิดสาขา “คลังเซรามิค” ภายใต้โมเดลธุรกิจนี้

“ร้านผู้แทนจำหน่าย จะเน้นสินค้าตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับบน แล้วเสริมด้วย “คลังเซรามิค” ที่มีสินค้าตั้งแต่กลุ่มระดับกลางลงมา โมเดลนี้นอกจากจะช่วยเสริมศักยภาพให้กับร้านผู้แทนจำหน่ายแล้ว ที่สำคัญ ผู้บริโภคยังจะได้รับ ประโยชน์ด้วยเพราะจะมีสินค้ากระเบื้องเซรามิกให้เลือกซื้อหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือกทุกระดับภายใต้แบรนด์ที่เราผลิตและนำเข้า จึงนับได้ว่าเป็นความร่วมมือที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ” นายนำพล กล่าวสรุปในตอนท้าย

 

 

 

บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO

ก่อตั้งเมื่อเดือน สิงหาคม 2562 จากการควบ 5 บริษัทย่อยภายในเครือ SCG (The Siam Cement Group) ได้แก่ (1) บริษัทเซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด (“TCC”) (2) บริษัทเดอะ สยาม เซรามิค กรุ๊ป อินดัสทรี่ส์ จำกัด (“SGI”) (3) บริษัทโสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด (“SSG”) (4) บริษัทไทย-       เยอรมัน เซรามิค อินดัสทรี่ จำกัด (มหาชน) และ (5) บริษัทเจมาโก จำกัด (“GMG”) ส่งผลให้เอสซีจี เซรามิกส์ กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้นและบุผนังของประเทศ โดยมีฐานการผลิต ทั้งหมด 4 แห่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี มีกำลังการผลิตกระเบื้องสูงสุดรวมกันถึงปีละ 94 ล้านตารางเมตร ภายใต้ 3           แบรนด์หลัก คือ แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPAN

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*