แมกโนเลียฯเผยหลังธปท.ผ่อนคลายกฎเกณฑ์LTV เชื่อดึงภาพรวมตลาดอสังหาฯกลับมาบูมอีกรอบ ล่าสุดเตรียมเปิดพรีเซล “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท วันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 นี้ หลังกวาดยอดขายรอบVIP เกินเป้ามาแล้วกว่า 20% มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ลูกค้า ด้านซีบีอาร์อีฯคาดปีนี้ตลาดคอนโดฯฟื้นตัว จาก 4 ปัจจัยสนับสนุน
นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” (MULBERRY GROVE) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC เปิดเผยว่าจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผ่อนผันมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value Ratio : LTV) และเกณฑ์เงินกองทุนช่วยประชาชนที่กู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงอีกครั้ง (เป็นครั้งที่ 2 )โดยมีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2563 นั้น มองว่าจะช่วยทำให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น และกลับมาบูมอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอตัวมาระยะหนึ่ง แต่ในส่วนของบริษัทฯเองนั้นไม่มีผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมามีการกำหนดเงินดาวน์สูง 15% อยู่แล้ว

สำหรับความคืบหน้าการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” (MULBERRY GROVE) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยแบบ มัลติ-แพลตฟอร์มที่หลากหลายนั้น โดยในช่วงปี 2562-2563 จะมีการพัฒนาแบรนด์ดังกล่าวทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 19,900 ล้านบาท  โดยเป็นการเริ่มเปิดตัวโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯไฮไรส์ สูง 37 ชั้น ขนาด 47-437 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 175,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 8.9-100 กว่าล้านบาท/ยูนิต จำนวน 287 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย)จำกัด เป็นที่ปรึกษาและบริหารงานขาย โดยหลังจากเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา  และได้มีการขายในรอบVIP เมื่อวันที่ 17-19 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามียอดขายแล้วกว่า 20% ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ และจะเปิดพรีเซลสำหรับลูกค้าทั่วไปในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ 2563 นี้ ซึ่งบริษัทฯคาดว่าลูกค้าจะรับรู้แบรนด์มากขึ้น และสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2563 นี้ และแล้วเสร็จในปี 2566

“การพัฒนาโครงการแบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ”นั้น เราจะเน้นเลือกที่ดินที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของครอบครัวขยาย สามารถอยู่อาศัยได้หลายช่วงวัย โดยไม่จำกัดทำเล รูปแบบ และเซกเมนต์” นายรุ่งโรจน์ กล่าว


ทั้งนี้จากผลสำรวจในด้านที่อยู่อาศัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ อายุ 15 – 65 ปี รวม 400 คน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 พบว่า กลุ่มตัวอย่างถึง 70.8% ต้องการอยู่อาศัยในบ้านที่ประกอบด้วยสมาชิกหลายรุ่น โดยกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องการอยู่อาศัยหลายรุ่นสูงสุด คือ 80.7% ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่อยู่อาศัยแบบครอบครัว 4 รุ่น ต้องการอาศัยอยู่ในครอบครัวหลายรุ่นมากที่สุด คือ 92.0% รองลงมา คือ ผู้อาศัยอยู่ในครอบครัว 3 รุ่น 78.9% ผู้ที่อาศัยใครอบครัว 2 รุ่น ต้องการอยู่อาศัยแบบครอบครัวหลายรุ่น 66.1% นอกจากนี้ยังพบว่า การอยู่อาศัยแบบครอบครัว 3 รุ่น ทำให้สมาชิกในครัวเรือนมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าครัวเรือนรูปแบบอื่น โครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” จึงตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ส่วนอีก 2 โครงการจะตั้งอยู่ในโครงการ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” (The Forestias) ที่ถือเป็นโครงการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ เนื้อที่ 300 ไร่ ริมถนนบางนา-ตราด ช่วง กม.5 – 7  ภายใต้แบรนด์ “มัลเบอร์รี โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์” แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1 โครงการ สูง 3 ชั้น  จำนวน 37 ยูนิต ราคาประมาณ 100-200 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 7,000 ล้านบาท

และอีก 1 โครงการจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 7-8 ชั้น จำนวน 283 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

ด้านนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดฯค่อนข้างซบเซาจากหลายปัจจัยลบ อาทิ สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ,กฎเกณฑ์ต่างๆของภาครัฐที่ประกาศใช้ออกมา และการปรับตัวรับกับกฎเกณฑ์ใหม่ของผู้บริโภค เป็นต้น แต่เชื่อว่าในปี 2563 นี้ตลาดอสังหาฯจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2562 จากปัจจัยดังต่อไปนี้

1.แบงก์ชาติมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ LTV

2.ภาษีธุรกิจที่ดินต่างๆ ซึ่งจากการที่ได้ศึกษา และทำความเข้าใจกับกฎหมาย พบว่าตัวเลขที่จัดเก็บยังถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ

3.ซัพพลายคอนโดฯ โดยเฉพาะย่านสุขุมวิท ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลง สามารถทำให้ขายสินค้าได้ขายขึ้น

4.เทรนด์การพัฒนาโครงการนั้น ผู้ประกอบการจะมีการปรับตัวค่อนข้างมาก ด้วยการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า เน้นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และลงทุนระยะยาวมากขึ้น

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*