ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่แห่เข้าไปพัฒนาโครงการในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และที่กำลังบูมเป็น Blue Ocean ดึงดูดให้เข้าไปลงทุนกันมากคือพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)โดยเฉพาะชลบุรี ที่เป็นจังหวัดใหญ่ และระยอง ที่กำลังมีอัตราการเติบโต จากอานิสงส์ของระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ส่งผลให้ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหลายรายเข้าไปพัฒนารอล่วงหน้า ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละค่ายนั้นทำการตลาดได้ดีและเจาะตลาดได้ลึกมากน้อยเพียงใด
รู้ข้อมูลเชิงลึก-พัฒนาสินค้าตอบโจทย์
โดยบริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน)หรือ SPALI ถือว่าเป็นบริษัทอสังหาฯที่มีความแข็งแกร่ง และประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่ต่างจังหวัด ซึ่งนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ SPALI เปิดเผยถึงแผนการลงทุนของบริษัทฯในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯได้เข้าไปลงทุนใน 2 จังหวัด คือ ชลบุรี 11 โครงการ และระยอง 6 โครงการ  รวมแล้ว 17 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 16,773 ล้านบาท  ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะชลบุรี สามารถทำยอดขายได้ดีที่สุดจากทุกจังหวัดที่บริษัทฯเข้าไปลงทุนทั่วประเทศ เพราะมีดีมานด์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก อีกทั้งมีนิคมอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ความต้องการที่อยู่อาศัยจึงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และดีมานด์ก็มีกำลังซื้อพอสมควร และเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ยังดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรี ยังอยู่ในระหว่างการเปิดขายอยู่ 10 โครงการ

ส่วนจังหวัดระยอง ปัจจุบันบริษัทฯมีที่อยู่อาศัยเปิดขายอยู่ 5 โครงการ อาจจะต้องอาศัยระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น และการที่รัฐบาลบูมสนามบินอู่ตะเภา ก็จะยิ่งทำให้จังหวัดระยองมีการคมนาคมที่สะดวกสบายและมีอัตราการเติบโตมากขึ้น

การที่โครงการของบริษัทฯมียอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะบิสซิเนสโมเดล เหมาะกับตลาดต่างจังหวัด สินค้าและราคาตอบโจทย์ลูกค้า โดยบ้านเดี่ยว จะพัฒนาในระดับราคา 10 กว่าล้านบาทขึ้นไป ,ทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 2.3 ล้านบาทขึ้นไป และบ้านแฝด ระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป อีกทั้งใช้ทีมงานขายและผู้รับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ ซึ่งจะมีความเข้าใจธุรกิจและดีมานด์ในพื้นที่ดีกว่า  ทำให้มีความมั่นใจในการลงทุนของบริษัทฯ สินค้าที่พัฒนาออกมาจึงมีคุณภาพ และสุดท้ายก็สามารถเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างที่ดีมีฝีมือได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงทำให้แบรนด์สินค้าอยู่รอดต่อไปได้


นายไตรเตชะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัด ก็ดำเนินการเช่นเดียวกับในกทม.คือ ต้องรู้ลึก รู้จริงในแต่ละทำเล แต่ละจังหวัด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุด หากไม่สามารถดำเนินการได้ ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีผู้ประกอบการน้อยรายที่สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับศุภาลัยฯ ส่วนใหญ่จะเข้าไปทำตลาดในรูปแบบของการ “ตีหัวเข้าบ้าน” ครั้นเมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องย้ายกลับเข้ามาทำตลาดในกทม.ต่อไป

“การทำตลาดต้องเข้าในลูกค้า ด้วยความที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ความคาดหวังจากลูกค้าจึงมีมาก การพัฒนาสินค้าต้องตอบโจทย์ และมีมาตรฐานเหนือกว่าคู่แข่งในท้องถิ่น แม้ว่าราคาที่ขายจะสูงกว่าดีมานด์ในพื้นที่ แต่ก็ตอบโจทย์ได้ดี ซึ่งต้องยอมรับว่าในพื้นที่ชลบุรีช่วงแรกๆค่อนข้างทำการได้ยาก โดยตัวเลขแล้วมองว่ามีดีมานด์มาก ซึ่งจะมี 4 กลุ่มพื้นที่ใหญ่คือ 1.พื้นที่อ.เมือง ชลบุรี 2. บางแสน 3. ศรีราชา-แหลมฉบัง และ 4.พัทยา ซึ่งแต่ละพื้นที่พฤติกรรมความต้องการของลูกค้าจะมีความแตกต่างกัน ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมีความประมาทในการลงทุน คือ เข้าไปลงทุนแบบคนกทม. สุดท้ายพัฒนาได้เพียงโครงการเดียวก็ต้องย้ายกลับเข้ามาในกทม.” นายไตรเตชะ กล่าวในที่สุด

เจาะช่องว่างตลาด-ศึกษาความต้องการในพื้นที่

ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN กล่าวว่า ในปี2562 ตลาดอสังหาฯในพื้นที่ EEC ค่อนข้างชะลอตัว เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆมีการชะลอตัว โดยเฉพาะภาคส่งออกที่มีตัวเลขติดลบ จึงส่งผลถึงกำลังซื้อที่ทำงานในพื้นที่ด้วย แต่เชื่อว่าจากมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ออกช่วยเหลือจะส่งผลให้พาคธุรกิจอสังหาฯขยายตัวไปได้ในปี 2563 ซึ่งบริษัทฯก็มีแผนที่จะขยายการลงทุนในพื้นที่EEC อย่างต่อเนื่องทั้ง 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยขณะนี้มีที่ดินรอรับการพัฒนาบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เข้าพัฒนาโครงการแนวราบในพื้นที่ EEC แล้ว จำนวน 14 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงการที่จังหวัดชลบุรีมากที่สุด จำนวนกว่า 10 โครงการ โดยโครงการแรกที่เข้าไปพัฒนาเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา คือ “แลนซีโอ คริป ศรีราชา-นาพร้าว” ระดับราคาประมาณ 2.9-6 ล้านบาท  หลังจากนั้นก็รุกไปพัฒนาโครงการแนวราบต่อเนื่องที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และระยอง ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน คือเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา และมีผลตอบรับที่ดีเช่นกัน

“การที่เราสามารถเปิดขายสินค้าในพื้นที่ได้มาก เพราะมีการศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียด และพบว่ายังมีช่องว่างและมีทำเลในการทำตลาดได้อีกมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดีมานด์ในทำเลนั้นๆว่ามีความต้องการสินค้าในรูปแบบใด เพื่อที่จะสามารถพัฒนาได้ตอบโจทย์ โดยบ้านเดี่ยว ระดับราคา 2.9-6 ล้านบาท ,บ้านแฝด ระดับราคา 2.6-3 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 1.5-2.2 ล้านบาท” นายชูรับฏ์ กล่าว

ที่ผ่านมาลูกค้าจะรับรู้แบรนด์ของลลิลฯมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายแรกๆที่เข้ามาพัฒนาโครงการในภาคตะวันออก แม้จะมีผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่มีความแข็งแร่งอยู่แล้ว แต่สินค้าก็เน้นที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีระบบสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม รวมไปถึงการทำตลาดของบริษัทฯดีจะต้องสร้างความแตกต่าง โดยเน้นใช้ Local Marketing สื่อในท้องถิ่นที่สามารถเข้าถึงลูกค้าโดยตรง และบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาชื่อเสียงของบริษัทให้อยู่ยาวนาน และลูกค้าเกิดการบอกต่อ

ทั้ง 3 จังหวัดที่เข้าไปลงทุน ยอมรับว่ามีการแข่งขันที่สูง เพราะดีมานด์ก็ไม่ได้สูงมาก ดังนั้นการจะพัฒนาโครงการจะต้องเป็นสินค้าที่มีระดับและตอบโจทย์ลูกค้า เพราะแต่ละจังหวัดจะมีผู้ประกอบการในพื้นที่ที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว แม้ว่าบริษัทฯจะขายสินค้าที่ราคาสูงกว่าผู้ประกอบการในท้องถิ่นเล็กน้อย แต่ก็มีระบบสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม และบริการหลังการขายที่ดี” นายชูรัชฏ์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*