‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ร่วมมือ‘อีซีจี-รีเซิร์ช’ ผู้บุกเบิกและผู้นำในงานที่ปรึกษาด้านการลงทุนภาคเอกชนเฉพาะราย เปิดเวทีให้ความรู้ในงานสัมมนา PROP ON TOP The Ultimate Ownership” ฝ่าวิกฤติการลงทุนอสังหาฯ เจาะลึกเทรนด์การลงทุนปี63 กับ กูรูด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แนะแผนรับมือกับภาวะวิกฤติในตลาด และโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  ด้วยผลตอบแทนที่สร้างได้นับแต่วันแรกที่ซื้อ
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึง การลงทุนในอสังหาฯ โซนสุขุมวิท-ทองหล่อ และทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ว่า “ทำเล” ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุนโดยทำเลอโศก พร้อมพงศ์ และทองหล่อ ยังเป็นทำเลที่มีศักยภาพ สร้างผลตอบแทนสูงให้กับนักลงทุนทั้งผลตอบแทนจากการเช่าเฉลี่ยที่ 4-5%  และ Capital gain เฉลี่ยที่ 5-6%  ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป โฟกัสที่ทำเลศักยภาพอย่าง พร้อมพงษ์ ทองหล่อ รวมถึงการเน้นเจาะตลาดกลุ่มนักลงทุน โดยมีโครงการที่เพิ่งเปิดการขาย 2 โครงการในปีนี้ ได้แก่ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 ขณะที่ภาพรวมในปีหน้าบริษัทมีความมั่นใจและมองเห็นโอกาสโดยจะมีการลงทุนที่มากกว่าปีนี้แน่นอน

 

นายพัทธ์ชลิต กลิ่นหอม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีซีจี-รีเซิร์ช จำกัด ผู้บุกเบิกและผู้นำในงานที่ปรึกษาด้านการลงทุนภาคเอกชนเฉพาะราย กล่าวว่า การลงทุนแบบใหม่ Lifestyle Investment หรือการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าในระยะยาวนับเป็นการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน โดยบริษัทมีบริการในชื่อ PEREF CARE – Pay Less, Earn More ให้กับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยข้อดีก็คือ เป็นการช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อ และการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่า พร้อมสร้างกำไรทันทีที่ซื้อ

การให้บริการนี้สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในโครงการที่บริษัทร่วมเป็นพันธมิตร เช่น ฮาบิแทท กรุ๊ป โดยผู้ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนจากที่วางเงินดาวน์ 15% ตามปกติแล้ว หากมีเงินออมอีกก้อนสามารถนำมาลงทุนในส่วนของ PEREF CARE ซึ่งกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้นไว้ที่ 1 ล้านบาทในกรอบระยะเวลา 1-5 ปี เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดผู้ซื้อสามารถซื้อสิทธิ์นี้คืนได้ ในขณะที่ระหว่างการถือสิทธิ์ผู้ซื้อจะได้รับเงินปันผลตอบแทน ทุกๆ 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง ในอัตราผลตอบแทน 9.75% ต่อปี ซึ่งเงินที่นำมาลงทุนบวกกับผลตอบแทนที่ได้ผู้ซื้อสามารถนำเงินก้อนนี้ไปใช้ในการโอนและปิดยอดได้ เท่ากับเป็นการลงทุนที่ 75-80% จากราคาเต็ม

นอกจากนี้ ยังมีบริการ Xpere Exclusive Privilege ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ด้วยสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า, บริการ CIF – Rise Your Asset ดูแลอสังหาริมทรัพย์ของคุณให้เหมือนใหม่ด้วยการเป็นตัวช่วยบริหารจัดการเงินส่วนกลาง และโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ปี 2020 ด้วยผลตอบแทนที่สร้างได้นับแต่วันแรกที่ซื้อด้วย PEREF CARE กับฮาบิแทท กรุ๊ป เป็นครั้งแรกอีกด้วย

ด้าน นายภาววิทย์ กลิ่นประทุม เจ้าของผลงานหนังสือ Bestseller “แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน” และ “คลินิกหุ้นมือใหม่” กล่าวถึง “เทรนด์การลงทุนปี 2563 และลงทุนอสังหาฯ ดีอย่างไร” ว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในรอบปีที่ผ่านมา และการคาดการณ์ถึงสถานการณ์ในปี 2563 ว่าคงไม่ดีนัก อาจถึงขั้น ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง แต่จากประสบการณ์ที่เป็นนักลงทุนมาตั้งแต่ปี 2551 ทำให้เห็นว่าในทุกๆ ครั้งที่คนส่วนใหญ่รู้สึกถึงความกลัว มักจะเกิดโอกาสเสมอ

“ผมรู้สึกว่าคนกลัวมากไป ในทุกๆ ครั้งที่คนกลัวมักจะเกิดโอกาส สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความรู้ที่มากพอในการจัดการกับสินทรัพย์ ผลตอบแทน และความเสี่ยงจากการลงทุน” นายภาววิทย์ กล่าว

ในหลักการบริหารจัดการเงินเพื่อการลงทุนสำหรับตัวเองแล้ว สัดส่วน 90% มีไว้เพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ส่วนอีก 10% เป็นการถือเงินสดเอาไว้ เพื่อที่เมื่อมีโอกาสดีๆ เข้ามาสามารถนำเงินส่วนนี้เข้าไปลงทุนได้ทันที เพราะโอกาสดีๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแนวทางสำคัญของการลงทุนที่อยากฝากไว้คือ การลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่สำคัญ นักลงทุนยุคใหม่มักมองสั้น ส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะรอ และมักขายออกไปก่อนเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในหลักการของการใช้สินทรัพย์หาเงินนั้นต้องมองไกลเข้าไว้ กรอบเวลาอยู่ที่ประมาณ 10 ปีขึ้นไป

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2563 ในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ สำหรับตัวเองแล้วมองว่า ความเสี่ยงมาจากการไม่ลงทุน มากกว่าลงทุน ขึ้นอยู่กับการหาความรู้ในด้านการลงทุนและการบริหารจัดการเงิน

ด้านนายโอภาส ถิรปัญญาเลิศ นักธุรกิจ-นักลงทุน เจ้าของแฟนเพจ : โอภาส ใหญ่ HI – Happy Investor กล่าวถึง การเตรียมความพร้อมรับมือกับภาวะวิกฤติของอสังหาริมทรัพย์ในไทยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยในช่วงที่ผ่านมา ในด้านดีคือยังมีคนมองถึงโอกาสในการเป็นเจ้าของและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อยู่  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม แต่ในอีกด้านการซื้อเพื่อการลงทุนนี้ก็ได้รับผลกระทบจากการออกมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value:LTV) สำหรับคนซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไปที่ต้องวางเงินดาวน์สูงขึ้นไปถึง 20%-30% ทำให้กลุ่มนักลงทุนจากที่เคยซื้อครั้งละหลายห้องลดลงมาซื้อในจำนวนที่น้อยลง และห้องที่แม้จะซื้อมาแล้วเวลาปล่อยขายต่อ ก็ต้องเจอกับความยากมากกว่าเดิมกับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์

“จากสมัยก่อนที่ซื้อมาแล้วปล่อยขายได้ง่ายๆ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ แม้จะมีความต้องการซื้อแต่พอคนซื้อต่อยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารก็ผ่านยากขึ้นมาก บางทีอาจต้องถึงคนที่ 3 และ 4 ถึงจะขายได้ ทำให้เห็นว่า โอกาสการลงทุนยังมีความต้องการซื้อมี แต่แค่ยากขึ้นกว่าเดิม”นายโอภาส กล่าว

ขณะที่นักลงทุนจากจีน ที่เป็นกำลังซื้อสำคัญของตลาดคอนโดมิเนียมในไทยมาหลายปี ก็โอนน้อยลงจนถึงขั้นไม่โอน เนื่องจากผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*