ไรมอน แลนด์ฯเปิดแผนปี63 ทุ่มงบ 20,000-30,000 ล้านบาท ลงทุนโครงการอสังหาฯ-ธุรกิจเชิงพาณิชย์ ทั้งขยายฐานร่วมทุนพันธมิตรภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผุดโครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 6,000-7,000 ล้านบาท หวังกระจายความเสี่ยงช่วงตลาดคอนโดฯขาลง ตั้งเป้า 5 ปี รายได้รวมแตะ 10,000 ล้านบาท
นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยถึงแผนการลงทุนของบริษัทฯในปี 2563 ว่า จะใช้งบในการลงทุนประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในส่วนของการพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อการขาย ระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และ การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการขยายสาขาของธุรกิจอาหารร้านบ้านหญิงและ DINK DINK ในต่างประเทศ

สำหรับโครงการอสังหาฯเพื่อการขายนั้น จะมีประมาณ 2 โครงการ  โดยโครงการแรกมีแผนที่จะเปิดตัวอย่างแน่นอนแล้วคือ  การพัฒนาโครงการคอนโดฯย่านสุขุมวิท38 ภายใต้แบรนด์ “The Ardmore38”ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3.5 ไร่ จำนวน 2 อาคาร สูง 31 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 37 ตารางเมตรขึ้นไป และทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น ซึ่งจะเป็นไฮไรส์ของโครงการดังกล่าว รวมประมาณ 300 ยูนิต มูลค่าโครงการ 8,200 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวประมาณไตรมาส3/2563 ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่าการออกแบบจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ส่วนอีกโครงการโครงการมิกซ์ยูสใจกลางสุขุมวิท บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติรายใหม่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา ส่วนที่ดินนั้นมีรองรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มั่นใจว่าจะสามารถเปิดขายได้ทันในปี 2563 หรือไม่ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรในพื้นที่ มูลค่าโครงการประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท ขณะนี้มีการตกลงร่วมทุนแล้วแน่นอน และมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว ซึ่งจะมีการเปิดตัวในไตรมาส1/2563นี้  แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“จากสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐ-จีน และสถานการณ์ความไม่สงบในฮ่องกง รวมไปถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว ตลาดอสังหาฯโดยเฉพาะอาคารสูงเริ่มเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ดังนั้นจึงมองว่า หากลงทุนในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวคงมีความเสี่ยง จึงเริ่มมองที่จะขยายแผนการลงทุนไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งได้มีการมองหาพันธมิตรในท่องถิ่น มาเป็นระยะเวลา 2 ปีแล้ว  ซึ่งนับจากปี2563 เป็นต้นไป แผนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จะอยู่ที่ส่วน 60:40 ซึ่งจะเป็นการทยอยลงทุนทีละประเทศ”นายไลโอเนล กล่าว

อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการขายในต่างประเทศจากการเปิดโชว์รูมในต่างประเทศ เริ่มจากการเปิดโชว์รูมขายโครงการ The Estelle พร้อมพงษ์ ในประเทศสิงคโปร์ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม  2562 ที่ผ่านมา และจะนำโครงการ The Loft ราชเทวี มาขายที่โชว์รูมดังกล่าวในระยะต่อไป รวมไปถึงการวางแผนที่จะเปิดโชว์รูมที่ประเทศจีน ในปี 2563 เป็นลำดับถัดไป

ส่วนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 1/2563 บริษัทเตรียมที่จะลงทุนพัฒนาอาคารสำนักงานแห่งใหม่อีก 1 แห่ง พื้นที่เช่า 60,000 ตารางเมตร รูปแบบใกล้เคียงกับโครงการ One City Centre เพลินจิต หรือ (OCC)แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ด้านโครงการ One City Centre เพลินจิต หรือ (OCC) อาคารสำนักงานให้เช่าระดับลักชัวรี่ (เกรด A) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด  ด้วยการก่อตั้งบริษัท ไรมอน แลนด์ 548 จำกัด ขึ้นมา เพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว  ด้วยทุนจดทะเบียน 1,300 ล้านบาท โดยไรมอน แลนด์ฯ ถือหุ้นสัดส่วน 60% และมิตซูบิชิ เอสเตทฯ ถือหุ้นสัดส่วน 40%  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิการเช่าดังกล่าวต่อสำนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว  อาคารดังกล่าวมีความสูง 61 ชั้น ขนาดพื้นที่รวม 61,000 ตารางเมตร มูลค่าลงทุนกว่า 8,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าก่อสร้างมูลค่า 5,500 ล้านบาท และค่าเช่าที่ดินมูลค่า 3,300 ล้านบาท ขณะนี้ความคืบหน้าด้านการก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 ดำเนินการไปแล้ว 19.80% โดยคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือไตรมาส 4/2565 และรับรู้รายได้ต้นปี 2566 ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2566 อย่างไรก็ตามปัจจุบันอัตราค่าเช่าพื้นที่อาคารบนพื้นที่ดังกล่าวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,400 -1,600 บาท/ตารางเมตร/เดือน

และยังมีแผนพัฒนาโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ ที่เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ และบริหารด้วยตนเอง มูลค่าการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ KITCH Hotel ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ ริเวอร์ เจริญนคร ซึ่งเป็นการรีโนเวทอาคารพื้นที่ค้าปลีก Vue บริเวณชั้น 2 และสร้างเพิ่มอีก 1 ชั้น  มาเป็นโรงแรมขนาด  72 ห้อง ราคา 1,400-1,600 บาท/คืน เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดีย โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563 และอีก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท จำนวน 300 ห้อง เน้นคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัยโดยการใช้เทคโนโลยีมาเป็นการนำเสนอ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 นี้  พร้อมเปิดให้บริการในอีก 2 ปี และอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อโรงแรมในประเทศอีก 1 แห่ง  ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

โดยภายในระยะเวลา5 ปี (2562-2566)ตามแผนของบริษัทฯคาดว่าจะมีห้องพักรวม 1,000 ห้อง โดยที่การผลักดันการเพิ่มจำนวนห้องพักโรงแรมของบริษัทฯนอกจากจะมีการลงทุนเองแล้วนั้น ยังมองไปถึงการนำแบรนด์โรงแรมของบริษัทฯเข้าไปรับบริหารให้กับเจ้าของโรงแรมที่สนใจ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการดำเนินธุรกิจโรงแรมในอนาคตต่อไป

ส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในเครือร้านอาหารบ้านหญิง บริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยในช่วงแรกจะเน้นการขยายในประเทศแถบเอเชียเป็นหลัก ปัจจุบันได้ขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง และร้าน DINK DINK ไปแล้วในประเทศสิงคโปร์ แบรนด์ละ 1 สาขา ส่วนในปี 63 มีแผนขยายสาขาของทั้ง 2 แบรนด์ เข้าไปในประเทศไต้หวัน จีน และกัมพูชา

โดยจะเป็นการขยายสาขาไปในประเทศและหัวเมืองที่เป็นแหล่งทำงานและท่องเที่ยวหลัก อีกทั้งยังสนใจมองหาโอกาสในการขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง และ DINK DINK เข้าไปในยุโรป และสหรัฐฯ แต่ยังคงเป็นแผนในอนาคต เพราะบริษัทต้องการเน้นการขยายสาขาในเอเชียให้ครอบคลุมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีก่อน ซึ่งการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารจะเข้าไปร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตและการรับประทานอาหารของคนชาตินั้นๆเป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้สามารถเลือกสรรเมนูและรสชาติของอาหารที่นำมาขายได้อย่างเหมาะสมในแต่ละประเทศ โดยแต่ละสาขาจะใช้ระยะเวลาในการคืนทุน 2 ปี

ทั้งนี้การลงทุนของบริษัทตามแผนที่วางไว้นั้นจะเป็นการที่ช่วยสนับสนุนในการกระจายรายได้ของบริษัทให้มีความเหมาะสม โดยที่ในช่วง 5 ปีนี้ หรือภายในปี 2566 จะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากรายได้ประจำเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30% ของรายได้รวมในปี 2566 ที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยที่รายได้ประจำจะมาจากธุรกิจอาคารสำนักงาน 1,000 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 1,000 ล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประจำไม่ถึง 10% ของรายรวม และรายได้ในส่วนของธุรกิจการพัฒนาและขายที่อยู่อาศัยจะปรับลดลงมาที่ 70% จากปัจจุบันมีสัดส่วนสูงกว่า 90% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทฯมองว่าเป็นสัดส่วนรายได้ที่มีความเหมาะสม และช่วยให้บริษัทมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืน จากการที่มีธุรกิจที่หลากหลายและเกี่ยวเนื่องกัน

สำหรับในปี 2562 ยังมั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท หลังจากที่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำรายได้ได้แล้วเกือบ 50% ของเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามาประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท จากคอนโดมิเนียม The Loft อโศก และ The Loft สีลม ซึ่งในปัจจุบันทั้ง 2 โครงการมียอดขายแล้วกว่า 90% หรือคิดเป็นมูลค่าการขายรวมกว่า 8,000 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*