ออลล์ อินสไปร์ฯ มีเฮ เตรียมรับอานิสงส์มาตรการรัฐ ชี้กระตุ้นตลาดอสังหาฯโค้งสุดท้าย เผยล่าสุดมีสต็อกพร้อมโอน มูลค่ารวมกว่า 4,800 ล้านบาท จาก 5 โครงการในมือ คาดเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ หนุนผลประกอบการโต  ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศมาตรการลดภาระให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยรัฐบาลจะลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดทะเบียนการจำนอง ดังนี้

1.ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิมร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01

2.ลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิมร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01


ทั้งนี้ เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย และการจดทะเบียนการโอน และการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน โดยมีระยะเวลานับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563

“มาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายในการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือว่ามาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการ ที่ช่วยกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันมาตรการนี้ ยังช่วยการตัดสินใจของกลุ่มผู้บริโภค ที่มีความต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง” นายธนากร กล่าว


นายธนากร กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างเสร็จพร้อมโอน อีกทั้งที่อยู่อาศัยเซกเมนต์ดังกล่าว ยังเป็นเซกเมนต์หลักของ ออลล์ อินสไปร์ฯ ดังนั้นจึงเชื่อว่าช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะทำให้กลุ่มธุรกิจมีสีสันมากขึ้น และยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่สรรพากรได้ประกาศลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียมสูงสุด 200,000 บาท สำหรับโครงการที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต โดยต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2562

“มาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มผู้ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริงได้ ซึ่งการปรับลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% จะช่วยให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเอง ก็จะต้องมีการจัดปรับโปรโมชั่นต่างๆ ให้สอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว     เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการที่มีสินค้าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในมือ           จะได้เปรียบจากมาตรการดังกล่าว  เนื่องจากลูกค้าโดยส่วนใหญ่จะต้องมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที หลังตัดสินใจซื้อ จึงจะได้รับสิทธิ์จากมาตรการดังกล่าว” นายธนากร กล่าว


ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์และจะโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ มูลค่ารวมประมาณ 4,800 ล้านบาท จาก 5 โครงการที่มีในมือ ประกอบด้วย

1. โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 (The Excel Hideaway Sukhumvit 50) ปัจจุบันมีสต๊อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 1,900 ล้านบาท

2. โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71 (The Excel Hideaway Sukhumvit 71) ปัจจุบันมีสต๊อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท

3. โครงการ ดิ เอ็กเซล คูคต (The Excel Khukhot) ปัจจุบันมีสต๊อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 50 ล้านบาท

4. โครงการ ไรส์ พระราม 9 (Rise Rama 9) ปัจจุบันมีสต๊อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 200 ล้านบาท

5. โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว – นวมินทร์ (The Vision Ladprao – Nawamin) ปัจจุบันมีสต๊อกพร้อมโอนมูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการมีระดับราคาขายตั้งแต่ 5 – 3 ล้านบาทต่อยูนิต สอดคล้องกับมาตรการดังกล่าวที่จะช่วยลดค่าโอน – ค่าจดจำนองที่มีราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต

“มาตราการปรับลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ถือเป็นข่าวดีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้าย และจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2562 กลับมาคึกคักอีกครั้ง  ขณะเดียวกันจะช่วยผลักดันผลประกอบการของ ALL ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย และจะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีนี้ด้วยเช่นกัน และจะผลักดันให้ผลประกอบการในปี 2562 เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์” นายธนากร กล่าว


โดยเป้าหมายรายได้รวมในปี 2562 ตั้งเป้าเติบโตมากกว่าเท่าตัวจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,342.97 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 1,691.94 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มรายได้รวมในช่วง       9 เดือนแรก เติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเตรียมประกาศงบ 9 เดือนแรกเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความพยายามรักษาอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ในระดับ 36 – 37%

ล่าสุดบริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 – 4 ปีข้างหน้า ทำให้บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2563 – 2565) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการทยอยรับรู้ Backlog ดังกล่าว นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทยังมีแผนการเปิดขายโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากแผนการเตรียมเปิดโครงการดังกล่าว จะช่วยหนุนยอดขาย (Presales) ในปี 2562 มีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ช่วงต้นปีที่ระดับ 7,000 ล้านบาท

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*