ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป รุกขยายฐานการลงทุนประเทศแถบเอเชียต่อเนื่อง ล่าสุดรุกตลาดไทยเป็นประเทศที่4 ตุนซื้อที่ดิน 126 ไร่ รองรับการพัฒนา 5 โครงการ ระยะ 2 ปี ระบุพ.ย.62 นี้เตรียมผุด 2 โครงการรีเกิล และ สุขุมวิท 76 รีเกิล ศรีนครินทร์ 40 รวมมูลค่า 17,200 ล้านบาท ส่วนที่ดินย่านสุวรรณภูมิ เตรียมหาพันธมิตรผุดบ้านจัดสรร-รีเทล มั่นใจเศรษฐกิจ-อสังหาฯไทย จะกลับมาโตอีก 2 ปี
มร.เฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่ากลุ่มบริษัท ไฮไชน์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการค้าจากประเทศจีน มีบริษัทแม่ตั้งอยู่ที่ประเทศฮ่องกง  ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท มียอดขายปีละประมาณ 300,000 ล้านบาท  ได้ขยายแผนการลงทุนมาในประเทศแถบเอเชีย โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนในประเทศจีน ฮ่องกง รวม 137 โครงการ  นอกจากนี้ยังได้ขยายแผนการลงทุนไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการลงทุนโครงการมิกซ์ยูสต์ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ พื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการประมาณ 100,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนา 7 ปี และล่าสุดได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในย่านธุรกิจแนวรถไฟฟ้า (BTS) หรือ รถไฟใต้ดิน ( MRT)   นอกจากนี้ยังมีแผนขยายการลงทุนไปยังประเทศเวียดนาม และเมียนมา ด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการหาพันธมิตรในการร่วมทุน

 

สำหรับการลงทุนในประเทศไทยนั้น ได้มีการซื้อที่ดินสะสมไว้จำนวน 126 ไร่ รองรับการพัฒนา 5 โครงการ ภายในระยะเวลา 2 ปี (ปี 2562-2563) โดยเริ่มจากการเปิดตัว 4 โครงการคอนโดมิเนียม และโครงการมิกซ์ยูส 4 ทำเล รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 22,500 ล้านบาท ได้แก่

โครงการรีเกิล สาทร-นราธิวาส พัฒนาในนามบริษัท ไฮไชน์ พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)จำกัด ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.68 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 28 ชั้น จำนวน 1 อาคาร  ขนาด 25.98-56.16 ตารางเมตร ราคา 3-9.5 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 130,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 260 ยูนิต + 2 ร้านค้า รวมมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40%

 

โครงการ รีเกิล บางนา พัฒนาในนามบริษัท ฟุ้ ไท้ พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)จำกัด  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ เป็นคอนโดฯสูง 31 และ 27 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาด 28-64 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่  1.99-6 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 80,000-90,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 937 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 20%



รีเกิล สุขุมวิท
76 พัฒนาในนามบริษัท รุ่นฟู๋ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่บนพื้นที่ 21 ไร่ เป็นโครงการมิกซ์ยูส มีอาคารที่พักอาศัย 8 อาคาร สูง 18-50 ชั้น  ขนาด 28-100 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.19-8 ล้านบาท จำนวน 4,931 ยูนิต   และพื้นที่ศูนย์การค้า 15,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้

และรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3.5 ไร่ เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวมมูลค่า 1,200 ล้านบาท ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้

ส่วนที่ดินอีกประมาณ 100 ไร่นั้น ตั้งอยู่ย่านสุวรรณภูมิ มีแผนจะนำมาพัฒนาในปี 2563 ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส คือเป็นโครงการบ้านจัดสรร และธุรกิจรีเทล ซึ่งจะแบ่งการพัฒนาเป็นเฟส ขณะนี้อยู่ในระหว่างการวางแผนพัฒนาและหาพันธมิตรในการร่วมทุน จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

นายเฉิน กล่าวต่อว่า แม้ว่าขณะนี้ตลาดอสังหาฯไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่บริษัทเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและตลาดอสังหาฯจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะกำลังซื้อยังมีอยู่ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี และรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรก็เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันอสังหาฯในกทม.นั้นเทียบได้กับจีน เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากประชากรย้ายมาทำงานในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น อีกทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองมากขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในปีนี้จำนวน 3,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 50%  หรือ 4,500 ล้านบาทในปี 2563

“แม้ว่า ไฮไชน์ เป็นบริษัทข้ามชาติ แต่ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เต็มรูปแบบจากหลายประเทศ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย ทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เราพร้อมมุ่งมั่นทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อความยั่งยืนในการพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาและสร้างที่พักอาศัยให้สะดวกสบายเพื่อให้เหมาะกับความเป็นอยู่ของคนไทย และแม้ว่าขณะนี้ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยจะค่อนข้างนิ่งๆ หรือทรงตัว เนื่องจากกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ยังมีความต้องการอยู่มากสำหรับประชากรในประเทศ และยังเชื่อว่าไม่มีฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในตลาดประเทศไทย เนื่องจากความต้องการที่แท้จริงไม่ใช่ความต้องการเก็งกำไรสำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 70% ของตลาดตามข้อมูลของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) ซึ่งยังคงเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการเข้าสู่ตลาดนี้ ในปี 2562” มร.เฉิน กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*