ฮาบิแทท กรุ๊ป สวนกระแสตลาดอสังหาฯซบ เตรียมเปิดพรีเซล 2 โครงการร่วมทุนกับ “ลิสต์ กรุ๊ป” ภายใต้แบรนด์“วาลเด้น ทองหล่อ 8” “วาลเด้น ทองหล่อ 13” รวมมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท  ดึงมืออาชีพไทยญี่ปุ่น เสริมความแกร่งงานขายบริหารโครงการ คาดปิดการขายภายใน 1 ปี
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2562 ว่าเริ่มชะลอตัวตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประกาศบังคับใช้มาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มนักลงทุนหายไป เหลือแต่เรียลดีมานด์ ซึ่งแม้ว่ากำลังซื้อในตลาดยังมีเงินในมือ แต่ก็ยังชะลอการซื้อคอนโดฯอยู่ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ หันไปเลื่อนเปิดตัวในปี 2563 แทน ด้านการขายก็ปิดตัวได้ช้าลง ไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งต้องจับตาดูสถานการณ์กันต่อไป

ในด้านทำเลที่อยู่อาศัยนอกจากโซนเพลินจิต ชิดลม ที่มองว่าเหมาะสำหรับเป็นทำเลสำหรับอาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้ามากกว่า แต่หากเป็นที่อยู่อาศัยดีมานด์ส่วนใหญ่จะนิยมทำเลทองหล่อมากกว่า ถือเป็นย่านที่มีการเติบโตอย่างมาก ดึงดูดนักลงทุน ปัจจุบันมีซัพพลายเหลือเพียงกว่า 30% จาก 7-8 โครงการ โดยแบ่งเป็นคอนโดฯไฮไรส์ ประมาณ 80% ที่เหลืออีกประมาณ 20% จะเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ ขณะเดียวกันราคาที่ดินในทำเลดังกล่าวก็มีการปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลพบว่าในช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมา มีการขายที่ดินบริเวณปากซอยทองหล่อ(สุขุมวิท55) ไปในราคา 2.8 ล้านบาท/ตารางวา

ขณะเดียวกัน ทองหล่อ ยังมีศักยภาพในการเติบโตของค่าเช่า โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานชาวญี่ปุ่น (Expat) โดยมีอัตราค่าเช่าสูงที่สุดในกรุงเทพฯ หรือสูงกว่า 1,000 บาท/ตารางเมตร และยังมอบผลกำไรโดยเฉลี่ยมากกว่า ร้อยละ 6 ต่อปี อีกด้วย ซึ่งในทำเลทองหล่อมีอาคารสำนักงานเกรด A หลายแห่ง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตครบ แต่ปัจจุบันยังขาดโครงการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์นักลงทุน ซึ่งจากประสบการณ์กว่า 7 ปี ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับการลงทุนของฮาบิแทท กรุ๊ป เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาจึงได้ประกาศร่วมทุนกับ“ลิสต์ กรุ๊ป” (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์แนวราบ แนวสูง,การก่อสร้าง และตัวแทนซื้อขายอสังหาฯ ที่มีเครือข่ายทั่วโลก จากประเทศญี่ปุ่น ผ่านเครือข่ายของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้  ด้วยการจัดตั้งบริษัทฯในการร่วมทุน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท  เพื่อพัฒนาโครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 8” และ บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ 2 จำกัด ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 13” รวมมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น ฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้น 62% และลิสต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 38%


โดยโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์ 8 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 32.5-71 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 235,000-260,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 7.9-14 ล้านบาท จำนวน 117 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท

โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษเป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ 8 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 35-66 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 185,000-220,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 6.9-13 ล้านบาท จำนวน 122 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท

โดยทั้งสองโครงการจะเปิดพรีเซลในวันที่ 26-27 ตุลาคม 2562 คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 12  เดือน โดยเป็นโควตาลูกค้าคนไทย 50% ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้บริหารงานขาย และอีก 50% จะเน้นลูกค้าต่างชาติ อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งทางบริษัทในเครือของ ลิสต์ กรุ๊ป จะเป็นผู้ดำเนินการ  ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก ปี 2565

“การร่วมทุนในครั้งนี้เรามองว่าลิสต์ กรุ๊ป  มีประสบการณ์ในการพัฒนามาแล้วหลายโครงการ หลายเซกเมนต์ และมี บริษัท ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ดำเนินธุรกิจตัวแทนซื้อขายอสังหาฯที่มีเครือข่ายทั่วโลก จะยิ่งเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งในการขยายฐานตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และมั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยและต่างชาติ”นายชนินทร์ กล่าว

มร.ยาสุชิ ยามาดะ ผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ โฮลดิ้งส์ สิงคโปร์ จำกัด และผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในด้านการดีไซน์นั้น ลิสต์ กรุ๊ป มีมั่นใจในความเชี่ยวชาญของฮาบิแททฯ แต่ในเรื่องการขาย ลิสต์ กรุ๊ป มั่นใจในเครือข่ายที่มีทั่วโลก โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศต่างๆ ทั้งจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เชื่อว่าด้วยเครือข่ายจะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน และยังรวมไปถึงสหรัฐฯ ที่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นเดียวกันกับญี่ปุ่น ดังนั้นนักลงทุนก็มีการมองอสังหาฯในต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งประเทศไทยโดยเฉพาะกทม.มีข้อดีคือ มีความเป็น International จึงมีนักลงทุนจากหลากหลายธุรกิจเข้ามาเป็นจำนวนมาก

“เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่ได้ร่วมงานกับ ฮาบิแทท กรุ๊ป โดยเราได้นำประสบการณ์ด้านการเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์, ผู้พัฒนาโครงการ และบริหารอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นอย่างยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงเครือข่ายการตลาดที่กว้างขวางในต่างประเทศของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ มาสู่การร่วมทุนครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายทั่วโลกของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ที่มีสำนักงานอยู่ถึง 1,000 แห่ง ใน 71 ประเทศ เราเล็งเห็นว่าตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ในประเทศไทยนั้นยังคงแข็งแกร่งและน่าจับตามอง คาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ซื้อจากต่างประเทศที่ต้องการจะลงทุนในโครงการทั้ง 2 แห่งนี้ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพราะเป็นโครงการที่มีคุณภาพและมีการบริหารจัดการด้านการเช่าโดยผู้เชี่ยวชาญอย่าง เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี” มร.ยาสุชิ กล่าว

ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยและทำงานในประเทศไทยมากกว่า 70,000 คน ซึ่งรวมถึงจำนวนของชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจในประเทศไทยก็มีแนวโน้มสูงขึ้น และมีการคาดการณ์ว่า จำนวนของทั้งสองกลุ่มนี้จะเติบโตมากขึ้นอีก 5 ปีต่อจากนี้ สืบเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ ที่จะขยายเข้ามาในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) เจอาร์อี  ดีเวลลอปเม้นท์ จะทำงานร่วมกับทางฮาบิแทท กรุ๊ป และลิสต์ กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งสองกลุ่มนี้อย่างเต็มที่

มร.มาซาชิ ฮิกุจิ ประธานบริหาร บริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทลูกของ JALUX กล่าวว่า บริษัทสั่งสมประสบการณ์การบริหารงานขายมากว่า 30 ปี ปัจจุบันมีการบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยกว่า 3,500 ยูนิต ทั่วประเทศญี่ปุ่น ด้วยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 95% JALUX สำหรับประเทศไทยเข้าไปบริหารโครงการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ “L’axe Sriracha JALUX Serviced Residence” ซึ่งเป็นบริการที่พักอาศัยที่มีจุดขายที่แตกต่าง ไม่เคยมีมาก่อน จึงสามารถตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติ และญี่ปุ่นได้เป็นอย่างมาก

“ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยและทำงานในประเทศไทยมากกว่า 70,000 คน ซึ่งรวมถึงจำนวนของชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจในประเทศไทยก็มีแนวโน้มสูงขึ้น และมีการคาดการณ์ว่า จำนวนของทั้งสองกลุ่มนี้จะเติบโตมากขึ้นอีก 5 ปีต่อจากนี้ สืบเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ ที่จะขยายเข้ามาในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) เจอาร์อี  ดีเวลลอปเม้นท์ จะทำงานร่วมกับทางฮาบิแทท กรุ๊ป และลิสต์ กรุ๊ป ในการสร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งสองกลุ่มนี้อย่างเต็มที่” มร.มาซาชิ กล่าว


ด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะ Sole Agent ตลาดในประเทศไทยของโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 กล่าวว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาฯโดยเฉพาะคอนโดฯในปี 2562 จะชะลอตัว แต่กำลังซื้อยังดีอยู่ในเชิงจิตวิทยา แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ เพราะราคายังไม่ตอบโจทย์  สำหรับทำเลทองหล่อ ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่ได้รับความนิยมซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนเนื่องจากเป็นย่านไลฟ์สไตล์ของกรุงเทพมหานคร รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ร้านอาหารชื่อดัง คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบคนเมืองอย่างแท้จริง โครงการคอนโดมิเนียมในทำเลทองหล่อ ส่วนมากเป็นโครงการ High Rise ระดับลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ มีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 300,000 บาท ต่อตารางเมตรขึ้นไป

สำหรับข้อมูลไตรมาส1/2562 พบว่าชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยมีประมาณกว่า 200,000 คน โดยมีชาวญี่ปุ่นมาเข้าทำงานมากที่สุดถึงกว่า 90,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 29% รองลงมาเป็นจีน สัดส่วน 15% ,ฟิลิปปินส์ 10% ,อินเดีย 8% ,อังกฤษ 6% ,สหรัฐฯ 5%, เกาหลีใต้ 4% และอื่นๆ 33%

 

แต่พฤติกรรมของชาวญี่ปุ่นมักเช่าคอนโดฯอยู่อาศัยมากกว่า โดยโครงการวาลเด้น ทองหล่อ 8 จะมีความต้องการห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 40-47 ตารางเมตร ราคา 9-10.7 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าในราคา 35,000-40,000 บาท/เดือน และห้องขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 62-71 ตารางเมตร ราคา 13.83-16.17 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 45,000-55,000 บาท/เดือน

ส่วนโครงการวาลเด้น ทองหล่อ 13 จะมีความต้องการห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 41-46 ตารางเมตร ราคา 7.6-8.9 ล้านบาท

ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าว บริษัทฯได้รับมอบหมายให้บริหารงานขายลูกค้าคนไทยในสัดส่วน 50% คาดว่าในช่วงวันพรีเซล คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 25%

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*