บสก. โชว์ศักยภาพ AMCแห่งชาติ ซื้อ NPAs- NPLs ช่วยเศรษฐกิจช่วงขาลง เผยสินทรัพย์รวมมูลค่า 107,667 ล้านบาท   มั่นใจหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มช่องทางเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย พร้อมเปิด 3 ยุทธศาสตร์เสริมความแกร่งองค์กร จับตากำไรปี62พุ่ง
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก.หรือ BAM เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน(Filling) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงานก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยหุ้นที่เสนอขายประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 54.4 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (กรณีมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯทั้งจำนวน) โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่ายที่ถึงกำหนด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

 

หลังจากที่นำ BAM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แล้วยังมุ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังจะมุ่งเป็นกลไกหลักประเทศในการกำจัดหนี้ด้อยคุณภาพ และประมูลหนี้ด้อยออกมาจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่ง BAM ถือเป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบทางธุรกิจทั้งขาขึ้นและขาลง เพราะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ มีสายป่านที่ยาว  มีต้นทุนที่ต่ำ จึงมีอำนาจในการต่อรอง จึงสามารถดูแลลูกค้าได้ในราคาที่เหมาะสม

ดังนั้น BAM จึงมีความมั่นใจในแผนการระดมทุนว่ามีความมั่นในศักยภาพ และจุดแข็งของบริษัทฯ ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท มีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี มีเครือข่ายทั่วประเทศมากที่สุดรวม 26 แห่ง  มีทีมงานประสบการณ์สูง และปัจจัยที่สำคัญคือ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์มีโอกาสในทุกภาวะเศรษฐกิจกล่าวคือในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทฯสามารถเลือกซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้ในต้นทุนที่เหมาะสม ในช่วงภาวะเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ลูกหนี้ของบริษัทฯ มีศักยภาพในการชำระหนี้ และลูกค้าของบริษัทฯ มีกำลังซื้อทรัพย์สินรอการขาย เป็นการสร้างรายได้ให้กับ BAM ซึ่งบริษัทฯมีราคาประเมินทรัพย์สินรอการขาย (NPAs)  มูลค่า 50,745 ล้านบาท และมีราคาประเมินเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้(NPLs) มูลค่า 187,875 ล้านบาท  โดย ณ สิ้นปี 2561 มีสินทรัพย์รวมมูลค่าทั้งสิ้น 107,667 ล้านบาท   

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนและเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น BAM จะสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นางทองอุไร กล่าว

นางทองอุไร กล่าวอีกว่า  ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบธนาคารมีอัตราการเติบโต (CAGR) เฉลี่ยร้อยละ 12.8 ประกอบกับราคาประเมินที่ดินล่าสุดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยโดยภาพรวมทั้งประเทศที่ร้อยละ 27.7 (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมธนารักษ์) จากโอกาสทางธุรกิจเช่นนี้ BAM ได้กำหนด 3 ยุทธศาสตร์หลักที่จะสานต่อการเติบโตในอนาคต และเพิ่มความแข็งแกร่งให้องค์กร

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1: ขยายฐานทรัพย์สิน BAM ติดตามการขาย NPLs และ NPAs อย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายสินทรัพย์ และ คัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการได้มาซึ่งสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มีสาขาทั่วประเทศ มีพนักงานที่มีประสบการณ์สูงและมีความเข้าใจในตลาดอย่างดี ทำให้บริษัทฯ สามารถประเมินศักยภาพและราคาทรัพย์ได้แม่นยำ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2: ลดระยะเวลาการดำเนินงานเพื่อสร้างรายได้ให้เร็วขึ้น BAM ให้ความสำคัญกับการเจรจากับลูกหนี้ การปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการให้ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ตามกำลังที่สามารถ BAMให้ความสำคัญกับการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่ายเท่าที่เป็นไปได้ พร้อมกันนี้ BAM ยังทำการตลาดเชิงรุกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น เว็บไซต์ และช่องทาง Social Media ขององค์กร ฯลฯ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3: การพัฒนาคนเพื่อเพิ่มศักยภาพองค์กร  BAM เชื่อว่าพนักงานที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเป็นปัจจัยหลักของความสำเร็จทางธุรกิจ  จึงได้จัดการฝึกอบรมพนักงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อพัฒนาความสามารถของพนักงาน รวมทั้งมีการเตรียมแผนการสืบทอดตำแหน่งที่ชัดเจน

“BAM ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 BAM มีกำไรสุทธิรวมที่ 5,202.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.58 จากปี 2560” นางทองอุไร กล่าว

ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 บริษัทฯ ได้ปิดบัญชีเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ (NPLs) ซึ่งคำนวณจากมูลค่าต้นทุนการซื้อไปแล้วเป็นจำนวน 90,562.65 ล้านบาท โดยสามารถเรียกเก็บเงินสดได้จำนวน 122,931.74 ล้านบาท โดยในปี 2561 BAM มีเงินสดรับจากธุรกิจ NPLs และ NPAs รวมทั้งสิ้น 16,569.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 13,515.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.59 และมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 5,202.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 4,500.82 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.58 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 BAM มีเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้สุทธิ  (NPLs) จำนวน 74,482.33 ล้านบาท ซึ่งหลักประกันของลูกหนี้ดังกล่าวมีมูลค่าอิงตามราคาประเมิน  187,875.26 ล้านบาท และมีทรัพย์สินรอการขายสุทธิ (NPAs) 21,731.04 ล้านบาท โดยมีมูลค่าอิงตามราคาประเมิน 50,287.17 ล้านบาท (ราคาประเมินตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและไม่รวมการผ่อนชำระ)


โดย BAM มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย ปัจจุบัน BAM มีทุนจดทะเบียน 16,225  ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,245 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท และมีทุนที่ออกและชำระแล้ว 13,675 ล้านบาท  โดยมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (“FIDF”) ถือหุ้น 99.99 % ทั้งนี้ หลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ FIDF มีนโยบายถือหุ้น BAM ในสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45

ด้านนายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ BAM กล่าวว่า  แม้บริษัทฯจะมีโอกาสในการทำธุรกิจสูงมาก แม้ว่าในขณะนี้มี (NPLs) อยู่ในระบบมูลค่า กว่า 400,000 ล้านบาท ขณะที่ (NPAs) ก็มีมูลค่าหลักแสนล้านบาท โดย BAM เป็นรายใหญ่ที่สามารถซื้อสินทรัพย์ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาสามารถซื้อได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 และมีส่วนแบ่งตลาดที่ 47.3% ถือว่าเป็นรายใหญ่ของตลาด มีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 107,667 ล้านบาท โดยมีจุดแข็งที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ มีความได้เปรียบมากกว่าบริษัทบริหารจัดการหนี้รายอื่นๆ (Asset Management Company : AMC) ทำให้มีโอกาสในการเลือกพอร์ตได้อย่างรวดเร็วและสามารถซื้อสินทรัพย์มาได้ในราคาที่ดี สร้างความเติบโตของพอร์ตได้

อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส1/2562 ที่ผ่านมา  บริษัทฯสามารถทำกำไรสุทธิได้ 3,327 ล้านบาท ติดเป็น 68% ของกำไรสุทธิ ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 5,202 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*