หลายปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวสูงในกรุงเทพมหานคร มีความคึกคักอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในจำนวนนี้ไม่ใช่เพียงแต่อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเท่านั้นที่มีความคึกคัก แต่อสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบผสมผสาน (Mixed-use) ที่ประกอบไปด้วย สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย ก็ได้รับการพัฒนาจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ออกมาหลากหลายโครงการอย่างน่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขปัจจุบันที่พบว่า ตลาดอาคารสำนักงานมีพื้นที่ 8,871 ล้านตารางเมตร มียอดการเช่าเฉลี่ยรวม 92% โดยศูนย์การค้ามีผู้เช่าเต็ม ด้านคอนโดมิเนียมทำยอดขายได้ดี ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าประเภทอะพาร์ตเมนต์ รวมถึง เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ และโรงแรมก็มีผู้เช่าในสัดส่วนที่สูงมาก จากชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพและปริมณฑล ข้อมูลจากจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานเมื่อเดือนเมษายน ระบุว่ามีจำนวนแรงงานชาวต่างชาติที่มีทักษะถึง 89,934 คน โดยพบว่า ระหว่างปีพ.ศ. 2556-2562 มีการเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี ทางด้านตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย จากข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ สิ้นปีพ.ศ. 2561 มีจำนวนสูงถึง 38,277,300 คน เพิ่มขึ้น 7.5% จากปีพ.ศ. 2560 นักท่องเที่ยวเหล่านี้เข้ามาพักอาศัยในโรงแรม และเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ และเดินทางท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยตามตลาดร้านค้าและศูนย์การค้าต่าง ๆ


จากการเติบโตดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่นำที่ดินศักยภาพติดถนนหลักใจกลางกรุงเทพมหานครที่เหลืออยู่ไม่กี่แปลง มาพัฒนาเป็น Mixed-use มากขึ้น โครงการส่วนใหญ่ก่อสร้างไปแล้วและจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จระหว่างปีพ.ศ. 2562 – 2569 ซึ่งเมื่อโครงการสร้างเสร็จเปิดให้บริการจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องคุณภาพชีวิตของคนทำงาน เนื่องจาก Mixed-use มีจุดเด่นในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการจัดไว้ให้บริการอย่างครบครัน และการเดินทางที่สะดวกสบาย แต่ละโครงการติดถนนหลักและเส้นทางรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพมหานคร

จากการวิเคราะห์พบว่า จุดเด่นของสำนักงานในรูปแบบ Mixed-use ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบันนั้น ต้องรองรับพฤติกรรมของคนทำงานรุ่นใหม่ในอาคารสำนักงานที่ต้องการปัจจัยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ Mixed–use ประสบความสำเร็จมีดังนี้

Best Concept & Design อาคารส่วนใหญ่มีการออกแบบให้ได้ตามมาตรฐานอาคาร LEED และ WELL ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการใช้พื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดการใช้พลังงานในอาคาร ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในเมืองที่เอื้อต่อการมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน

Good Facility ทุกโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ร้านค้า มินิมาร์ท ร้านกาแฟ ไปรษณีย์ ธนาคาร ที่ออกกำลังกาย โรงแรม พื้นที่สีเขียวเพิ่มอากาศบริสุทธิ์เพื่อพักผ่อนและสุขภาพที่ดี เป็นต้น เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันในการทำงาน ช้อปปิ้ง พบปะสังสรรค์ และการพักผ่อนได้อย่างลงตัวภายในพื้นที่แห่งเดียว รวมถึงการมี Co–working space เพื่อรองรับการทำงานของคนยุคใหม่

Digital Technology โครงการส่วนใหญ่สนับสนุนเรื่องเทคโนโลยีที่จำเป็นในการทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน เช่นเป็นเครือข่ายเมืองดิจิทัลแบบไร้รอยต่อด้วยฟรี WIFI ที่มีความเร็วสูงสุดให้บริการทั่วทั้งโครงการ

Good Location ทุกโครงการตั้งอยู่ติดถนนหลักและใกล้หรือติดรถไฟฟ้า BTS หรือรถไฟใต้ดิน MRT ผู้มาใช้บริการมีความสะดวกสบายในการเดินทาง เทรนด์ออฟฟิศ 4.0 ยืดหยุ่นเจาะคนรุ่นใหม่ มีรูปแบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายช่องทาง ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นการผสมผสานที่จะช่วยกระตุ้นการทำงาน พร้อมนำไปสู่การสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงานที่ดี จึงถือเป็นช่องทางหนึ่งในการรักษาพนักงานที่มีความสามารถทั้งยังช่วยสร้างความภักดีต่อองค์กร

สามารถกล่าวได้ว่า Mixed–use ไม่เพียงแต่ส่งผลให้วงการอสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับศักยภาพกรุงเทพมหานครในฐานะศูนย์กลางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่น่าลงทุน ยกระดับภาพลักษณ์อสังหาริมทรัพย์ของไทยด้านการออกแบบและพัฒนาสู่ระดับมาตรฐานสากล เป็นการรองรับปริมาณจำนวนคนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ยังต่อยอดให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองอย่างเช่นคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*