เอสเทลล่า ฯเผยธุรกิจโคมไฟระย้าคริสตัลแท้ ยังโตต่อเนื่องตามรสนิยมลูกค้าระดับไฮเอนด์ คาดปี62 ยอดขายโต30%  ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจาก “แอสโฟร์” ผู้ผลิตคริสตัลแท้รายใหญ่ที่สุดของโลก ให้เป็น Exclusive Dealer ในไทย ตั้งเป้าขยายสาขารูปแบบ Shop ปีละ 1 สาขา ประเดิม เซ็นทรัลอีสวิลล์ สาขาแรกในปี63
 นางสาว ภัทรจิตรา พิชญวิศิษฏ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเทลล่า เพรสทิจ จำกัด ผู้จำหน่ายโคมไฟระย้าคริสตัลแท้ 100% แบรนด์เอสเทลล่า (Estella)  เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ดำเนินธุรกิจโคมไฟ มานานกว่า 20 ปี และมองว่าธุรกิจดังกล่าวยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีรสนิยมมากขึ้น แม้ว่าในช่วง 1-2 ปีนี้สภาวะเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัว  แต่ตลาดระดับบนกลุ่มลูกค้ายังมีกำลังซื้ออยู่ โดยสินคค้าสัดส่วนมากกว่า 80% เป็นกลุ่มลูกค้าที่มาซื้อและนำไปติดตั้งเอง และที่เหลืออีกกว่า 10% เป็นลูกค้าโครงการอสังหาฯ  เพราะโคมไฟระย้าคริสตัลนั้นจะเป็นความชอบส่วนตัวของลูกค้า ที่ต้องการมาเลือกซื้อหาเอง อีกทั้งมีราคาที่สูง ตั้งหลักหลักหมื่นบาทถึงหลักล้านบาท โดยคาดว่าปี 2562 นี้ ยอดจำหน่ายทั้งปีจะเติบโตขึ้น 30% จากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท เนื่องจากได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเพิ่มขึ้น และการเติบโตของตลาดบ้านพักอาศัยระดับบน

“เรามีมุมมองว่า ตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ที่ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปจะยังมีอัตราเติบโตเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าในอนาคตตลาดระดับกลาง-บน จะมีการขยายตัวมากขึ้น สำหรับลูกค้าเอสเทลล่าส่วนใหญ่  เป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีศักยภาพ เป็นผู้มีรสนิยมและซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง” นางสาวภัทรจิตรา กล่าว

โดยปัจจุบัน เอสเทลล่า เป็นตัวแทนจำหน่ายโคมไฟคริสตัลแท้ชั้นนำหลายแบรนด์จากยุโรป เช่น Euroluce, Copenlamp, Iris Cristal, Novaresi, Pedret และ Castro Lighting นอกจากนี้เอสเทลล่ายังเป็น Exclusive Lighting Partner กับโคมไฟสวารอฟสกี้ (Swarovski)  แบรนด์โคมไฟคริสตัลชื่อดังอันดับหนึ่งของโลก และเพื่อเป็นการเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าว่า คริสตัลของบริษัทเป็นคริสตัลแท้ 100%  ล่าสุด จึงได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย (Exclusive Dealer) กับ แบรนด์แอสโฟร์ (Asfour) จากประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตคริสตัลแท้รายใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วย มีกำลังการผลิตถึงวันละ 120 ตัน  มีจุดเด่นคือการผลิตจากทรายคุณภาพดี ผลิตจากทรายบริสุทธิ์จากทะเลทรายไซนาย (SENAI) ที่มีส่วนผสมของเหล็กอยู่น้อยมาก และใช้ตะกั่วออกไซด์เป็นส่วนผสมมากกว่า 30% ซึ่งมากกว่าคริสตัลแท้ทั่วไปที่ใช้ตะกั่วออกไซด์เป็นส่วนผสมเพียงแค่ 24% ตามมาตรฐานกำหนดความเป็นคริสตัลแท้ ทำให้คริสตัลของแอสโฟร์ ส่องประกายแวววาวมากกว่าจนทำให้เป็นที่รู้จัก และถูกใช้มากที่สุดในอุตสาหกรรมผลิตโคมไฟของยุโรป โดยคริสตัลของแอสโฟร์เกือบทุกเม็ดจะมีสัญลักษณ์รูปนกอินทรีย์ที่ตัวเม็ดคริสตัล ยกเว้นในคริสตัลที่มีขนาดเล็กมาก

“จากการที่เราดำเนินธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน มีโคมไฟแบรนด์ดังๆ จากยุโรปหลายแบรนด์ที่เราเป็นตัวแทนจำหน่าย และยังเป็น Exclusive Lighting Partner ของสวารอฟสกี้ ทำให้เอสเทลล่าได้รับความไว้วางใจจากแอสโฟร์ ผู้ผลิตคริสตัลแท้รายใหญ่ของโลก แต่งตั้งให้เราเป็น Exclusive Dealer ซึ่งจะทำให้แบรนด์เอสเทลล่ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น” นางสาวภัทรจิตรา  กล่าว

ปัจจุบัน เอสเทลล่า  มีโชว์รูมอยู่ 2 แห่ง รวมพื้นที่โชว์โคมไฟรวมกว่า 3,000 ตารางเมตร  คือ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) พื้นที่ 400 ตารางเมตร  มียอดขายประมาณ 60%และ ถนนราชพฤกษ์ พื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร  มียอดขายประมาณ 40% โดยราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้านบาท และขนาดของโคมไฟที่ขายดีที่สุดคือ 80-120 เซนติเมตร ระดับราคา 80,000-120,000 บาท

อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นบริษัทฯมีแผนที่จะขยายสาขาในรูปแบบของ Shop แบรนด์แอสโฟร์ ปีละประมาณ 1 สาขา แต่ละสาขาใช้พื้นที่ประมาณ 100-150 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท โดยเน้นสาขาในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเป็นหลัก เนื่องจากเป็นห้างฯที่กระจายตัวไปในพื้นที่ต่างๆได้มาก ซึ่งจะเริ่มจากเซ็นทรัล อีสวิลล์ เป็นลำดับแรก

ด้าน มร. อับเดลรามัน วาริด แอสโฟร์ กรรมการบริหาร บริษัท แอสโฟร์ คริสตัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตคริสตัลแท้รายใหญ่ของโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศอียิปต์ และมีการส่งออกผลิตภัณฑ์คริสตัลไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก กล่าวว่า การแต่งตั้งให้เอสเทลล่าเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย (Exclusive Dealer) จะทำให้แอสโฟร์สามารถขยายตลาดในประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นฐานขยายตลาดเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังมีการเติบโตไปได้ด้วยเช่นกัน การที่แอสโฟร์ตัดสินใจเลือกเอสเทลล่า  เพราะเอสเทลล่าเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงจากการดำเนินธุรกิจในไทยมานาน จำหน่ายแต่ผลิตภัณฑ์คริสตัลแท้ 100% อีกทั้งเอสเทลล่ายังเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงรายเดียวในประเทศไทยให้กับ แบรนด์คริสตัลที่มีชื่อเสียง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถการันตีถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการของเอสเทลล่าได้เป็นอย่างดี

“แนวทางการทำตลาดของแอสโฟร์ในปีนี้ จะเน้นทั้งในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายตลาดควบคู่กันไป ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น ได้มีการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ไปเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และวางแผนที่จะเปิดตัวคอลเลกชันใหม่อีกครั้งภายในไตรมาส 3 ส่วนการขยายตลาดนั้น แอสโฟร์มองไว้ในหลายๆ ประเทศทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยล่าสุดได้มีพันธมิตรใหม่เข้ามา คือ เวียดนาม ฝรั่งเศส อาร์เมเนีย และในรัฐยูท่าห์ สหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่แอสโฟร์ให้ความสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด การร่วมเป็นพันธมิตรกับเอสเทลล่าในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะทำให้ตลาดในประเทศไทยเติบโตขึ้นได้อีกมาก และยังเป็นช่องทางขยายตลาดของแอสโฟร์ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้อีกด้วย” มร. อับเดลรามัน กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*