ดี-แลนด์ฯ ปรับแผนขยายแบรนด์ “พอร์โต้ โก”เหลือ 5 สาขา ภายใน 4 ปี ทั้งหั่นงบทุนลงเหลือ 300 ล้านบาท/สาขา พร้อมเปิดสาขาที่2 เดือนพ.ย.นี้ รวมร้านค้าแบรนด์ดังถึง 30 ร้าน ปี63 จ่อขยายพื้นที่EEC-ภาคตะวันตก ล่าสุดสนนำพอร์ตเข้าระดมทุน 2 รูปแบบ หวังนำเม็ดเงินลงทุนต่อเนื่อง ตั้งเป้ารับรู้รายได้ธุรกิจรีเทลโตอีกประมาณ 50-60%จากปี61
 
นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะปรับลดการพัฒนาโครงการโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ ในรูปแบบ Rest Area บนเส้นทางหลวงเชื่อมจังหวัด ภายใต้แบรนด์ “พอร์โต้ โก” ซึ่งเดิมตั้งเป้าจะเปิดตัว 20 สาขา ภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2561-2565) เหลือ 5 สาขา ภายในระยะเวลา 4 ปี (ปี 2561-2564) เนื่องจากต้องมีการปรับเปลี่ยน Layout ให้ตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น การเลือกร้านค้าแต่ละสาขาให้เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้บริโภค เป็นต้น อีกทั้งนับจากนี้ไปสาขาที่จะพัฒนาในอนาคตจะปรับลดงบลงทุนจากสาขาละประมาณ 400 ล้านบาท เหลือประมาณ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 20% แต่พื้นที่ในการพัฒนายังใช้เท่าเดิมคือประมาณ 15-20 ไร่ สามารถรองรับผู้เช่าพื้นที่ได้ 10-15 ร้านค้า

“จากความสำเร็จใน การปั้น “พอร์โต้ ชิโน่” ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกในจังหวัดสมุทรสาครเมื่อ 7 ปีก่อน บริษัทฯ ได้ต่อยอดและขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ คือ“พอร์โต้ โก” โดย ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนามาแล้ว 2 สาขา โดยสาขาแรกคือที่ บางปะอิน และสาขาที่ 2 ที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้ ทำให้ได้เรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภคที่มาใช้บริการ ว่ามีความต้องการในเรื่องใดบ้าง โดยจากการศึกษาข้อมูลพฤติกรรมของนักเดินทางที่ใช้ถนนสายหลัก และพบว่ามีรถยนต์วิ่งเฉลี่ย 14.8 ล้านคันต่อปี หรือ 40,000 คันต่อวัน และเกือบทั้งหมดจอดแวะจุดพักรถ เพื่อเข้าห้องน้ำและทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น แวะพักผ่อน เพื่อ เติมความสดชื่นระหว่างเดินทาง รับประทานอาหาร ซื้อกาแฟ แต่มีเพียง 30% เท่านั้น ที่แวะเติมน้ำมัน ดังนั้น โครงการ “พอร์โต้ โก” จึงมีมากกว่าสถานีบริการน้ำมันและห้องน้ำสะอาด เพื่อตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการจึงต้องมีการปรับแบบให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด” นายสุเทพ กล่าว

ทั้งนี้หลังจากที่ได้เปิดตัวโครงการแรก “พอร์โต้ โก บางปะอิน” ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย กิโลเมตรที่ 4 ฝั่งขาออกจากกรุงเทพฯ ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา  ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นจุดพักรถ 24 ชั่วโมง  ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักเดินทางที่ขับรถขึ้นภาคเหนือและภาคกลางตอนบน โดยมีรถที่เข้าใช้บริการในพื้นที่ประมาณ 4,000 คัน/วัน โดยเป็นผู้ที่ใช้บริการแบบไดร์ฟทรู ประมาณ 20%

ส่วนสาขาที่ 2 คือ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” อยู่บนพื้นที่ขนาด 23 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินเช่าระยะสัญญา 27 ปี  ที่ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ก่อนถึงวัดเกตุมวดีศรีวราราม นั้นจะเน้นเจาะกลุ่มนักเดินทางที่ขับรถลงภาคใต้บนถนนพระราม 2 ซึ่งมีปริมาณการจราจร เฉลี่ยสูงถึง 120,000 คัน/วัน  โดยยังรักษาจุดเด่นในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เพื่อสร้างประสบการณ์ การพักผ่อนระหว่างการเดินทางที่แปลกใหม่ อาทิ ห้องน้ำติดแอร์พร้อมระบบสุขภัณฑ์แบบไร้การสัมผัส สถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ร้านอาหารมากถึง 30 ร้าน ที่มีทั้งร้านอาหารชั้นนำ ร้านสะดวกซื้อ ร้านของฝาก ร้านกาแฟ ร้านค้าแบรนด์ดัง รวมไปถึงบริการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ และที่จอดรถมากกว่า 200 คัน พร้อมที่จอดรถทัวร์ โดยคาดว่าจะมีรถยนต์เข้าใช้บริการจำนวน 4,500-5,000 คัน/วัน ปัจจุบันมีผู้เช่าพื้นที่แล้ว 90% และพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้

“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดึงพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะขยายธุรกิจในรูปแบบไดร์ฟทรูและรูปแบบใหม่ๆ ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” มีพันธมิตร ทั้ง Starbucks และ KFC เปิดให้ บริการไดร์ฟทรู จนถึง 4 ทุ่มทุกวัน  อีกทั้ง วราภรณ์ ซาลาเปา และ ชาตรามือ 2 แบรนด์ดังสัญชาติไทยก็เตรียมที่จะเปิดไดร์ฟทรูเป็นสาขาแรกในประเทศไทยในวันที่ 27 กันยายน และ 10 ตุลาคม 2562นี้ ในส่วนสถานีบริการน้ำมันที่เปิดให้บริการใน “พอร์โต้ โก ท่าจีน” ทางดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ฯได้จับมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในการเปิดสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 3 บนถนนพระราม 2 เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้เช่นกัน” นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี2563 บริษัทฯยังมีแผนขยายสาขาไปในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และพื้นที่ภาคตะวันตกด้วย โดยเน้นพื้นที่ที่อยู่บนเส้นทางไฮเวย์ ซึ่งภายในระยะ 300 กิโลเมตร สามารถเปิดตัวประมาณ 3-4 สาขา โดยต่อสาขาจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี  และจะเป็นการเช่าพื้นที่ระยะยาว 25 ปีขึ้นไป จากเจ้าของที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ซึ่งแต่ละสาขาจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 7 ปี

นอกจากนี้ปัจจุบันบริษัทฯยังอยู่ในระหว่างศึกษาวิธีการระดมทุน เพื่อขยายธุรกิจในอนาคต โดยเบื้องต้นมี 2 วิธี ได้แก่ 1.การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ 2.การนำสินทรัพย์ขายในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม คอมเมอร์เชียล โกรท หรือ AIMCG  ขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษาและเตรียมความพร้อม ทั้งกระบวนการตรวจสอบภายใน ระบบบัญชีต่างๆ เบื้องต้นบริษัทประเมินว่ายังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ อีกทั้งยังต้องรอดูภาวะตลาดและสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันยังคงชะลอตัว จึงมองว่ายังไม่ใช่จังหวะในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงระยะเวลานี้

“วิธีการนำสินทรัพย์ขายในกอง AIMCG ในอนาคต บริษัทฯอาจจะนำโครงการพอร์โต้ โก ท่าจีน ขายในกองดังกล่าว เพื่อระดมทุน หลังจากนำโครงการพอร์โต้ โก บางปะอิน ขายเป็นสินทรัพย์ในกองดังกล่าว ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทได้เงินทุนจากการระดมทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท” นายสุเทพ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่าในอนาคตสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรีเทลจะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับไม่เกิน 15% ของรายได้รวม ซึ่งรายได้จาก ธุรกิจรีเทลจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50-60% จากปี 2561 ที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10% หรือกว่า 100 ล้านบาท จากรายได้รวมของบริษัท 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาฯเพื่อการขาย สัดส่วน 90%

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*