จาร์ตันฯเปิดแผนครึ่งปีหลัง62 รุกนำระบบ Wi-Fi Smart Home เจาะตลาดบ้านเดี่ยว หวังชิงส่วนแบ่งตลาด ไม่หวั่นการแข่งขันเดือด มีจุดแข็งบริการหลังการขายและโชว์รูมรองรับลูกค้า ส่งผลเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ทั้งรุกขยาย Shop in Shop ทุกสาขาโมเดิร์นเทรด และโชว์รูมขนาดเล็กในร้านค้าดีลเลอร์หัวเมืองใหญ่ ทั้งทุ่มงบ10 ล้านบาท ปรับปรุงอาณาจักรย่านพระราม3 เป็น “สมาร์ท โชว์รูม”
นายธีธัช จึงกานต์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จาร์ตัน กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตติดตั้งและส่งออกระบบ “บ้าน” และ “อาคาร” ครบวงจร (JARTON) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างในปัจจุบันว่า  มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหลายหมวดสินค้า โดย จาร์ตัน กรุ๊ป คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับต้นๆของวงการ ทั้งในส่วนของระบบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ประตูหน้าต่าง, ระบบอุปกรณ์และการติดตั้งประตูหน้าต่างอลูมิเนียม, ระบบอุปกรณ์ห้องน้ำและอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ และระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในครึ่งปีหลัง  จะมุ่งเน้นเจาะตลาด “ระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ” กับกลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่สนใจนำระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะไปใช้อย่างจริงจัง รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าใช้งานในบ้านและคอนโดฯส่วนตัว ที่ต้องการระบบ Wi-Fi Smart Home ที่ให้ความเสถียรสูงกว่าระบบทั่วไป ชนิดไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ Gateway เพิ่มเติม โดยในไตรมาส4/2562 นี้ มีแผนที่จะนำสินค้าระบบดังกล่าว รุกตลาดบ้านเดี่ยวมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดที่มากขึ้น

ซึ่งปัจจุบันยอมรับว่าตลาด Smart Home มีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่เทคโนโลยีที่แข่งขันในปัจจุบัน ไม่ใช่คู่แข่งของจาร์ตันโดยตรง เพราะส่วนใหญ่นำเข้ามาจากจีน บางเทคโนโลยีก็นำเข้ามาจากประเทศอื่นๆ ที่ผ่านระบบ Z-WAV และ ZIGBEE แต่มีต้นทุนที่สูง  ในขณะที่เทคโนโลยีของจาร์ตันก็เป็นแอปพลิเคชั่น Smart Home ที่ใช้ผ่านระบบ wi-fi จะมีต้นทุนที่น้อยกว่า สามารถครอบคลุมลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย และถือเป็นรายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้ระบบดังกล่าว แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการหลายรายก็เริ่มหันมาใช้ Smart Home ที่ใช้ผ่านระบบ wi-fi กันมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น แต่จาร์ตัน ก็มั่นใจในจุดแข็งที่มีโชว์รูมของตนเอง และมีบริหารหลังการขาย รวมไปถึงมีโรงงานรองรับ เป็นต้น

“ภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างชะลอตัวทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ และมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-value : LTV) แต่สินค้า Smart Home กลับเติบโตส่วนกระแสส่วนหนึ่งมาจากผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจสินค้านวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้การที่มีสต๊อกคอนโดมิเนียมคงค้างหรือบ้านเหลือขายในตลาดเป็นจำนวนมากทำให้ผู้ประกอบการต่างหาจุดขายด้วยการนำ Smart Home เข้าไปใช้ภายในห้องหรือในโครงการ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า ส่งผลให้ในปัจจุบันตลาดเติบขึ้นอย่างมาก โดยระบบ Smart Home ของบริษัทเติบโตถึง 70-80% เทียบจากเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตปีละประมาณ 10-15% เท่านั้น” นายธีธัช กล่าว

JARTON Home ที่ใช้ระบบ Wi-Fi Smart Home แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มสินค้านั้น มุ่งเน้นเจาะทุกกลุ่มลูกค้าผู้ที่ใช้งานทั้งภายในบ้านและคอนโดมิเนียมส่วนตัว รวมทั้งในส่วนของกิจการที่พักไปจนถึงโรงแรมขนาดใหญ่  โดยในส่วนของกลุ่มลูกค้าผู้ที่ใช้งานภายในบ้านและคอนโดส่วนตัวสามารถติดตั้งและใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง เพียงแค่เชื่อมต่อกับ  Wi-Fi Router 2.4GHz ที่มีอยู่แล้ว จากนั้น ดาวน์โหลด JARTON Home แอพพลิเคชั่นมาใช้งาน โดยใช้ได้ทั้งบนระบบปฏิบัติการ IOS และ Android

สำหรับ ผลิตภัณฑ์ ของ ระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะมีทั้งหมด 5 หมวด ประกอบด้วย

1.ระบบบริหารลานจอดรถ (JARTON Carpark) 

2.ระบบควบคุมการเข้าออก (JARTON Access และ JARTON Lock)

3.ระบบกล้องวงจรปิดสำหรับอาคารขนาดใหญ่ (JARTON CCTV)  

4.ระบบกุญแจโรงแรม (JARTON Hotel)

5.ระบบ Wi-Fi Smart Home (JARTON Home) ที่แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่มรักษาความปลอดภัย อาทิ  กุญแจดิจิตอล กล้องวงจรปิด สัญญาณกันขโมย ฯลฯ

กลุ่มอำนวยความสะดวก  อาทิ  สวิตทช์ไฟอัจฉริยะ กล่องควบคุมรีโมท ฯลฯ

กลุ่มสุขภาพ                      อาทิ  เครื่องฟอกอากาศ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ฯลฯ

กลุ่มไลฟ์สไตล์                  อาทิ  เครื่องอโรมาพร้อมลำโพง กระจกอัจฉริยะ ฯลฯ

“ที่ผ่านมาสินค้าทุกกลุ่มภายใต้แบรนด์ของจาร์ตัน กรุ๊ป ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่า การเปิดตัว JARTON Home แอปพลิเคชั่น จะได้รับเสียงตอบรับจากกลุ่มลูกค้างานโครการที่เป็นเจ้าของบ้านและคอนโดฯ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ตอบสนองความต้องการการใช้งานของลูกค้าให้มีไลฟ์สไตล์ที่สะดวกและง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยให้สามารถควบคุมอุปกรณ์ที่ใช้ระบบ Wi-Fi ผ่าน JARTON Home แอปพลิเคชั่นได้เบ็ดเสร็จในแอพเดียว อันเป็นความโดดเด่นยังไม่เคยมีมาก่อน  และที่สำคัญคือการที่เราใส่ใจพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่องและให้ความสำคัญกับทีม After service support แก่ลูกค้าของจาร์ตันทุกคนเสมอ” นายธีธัช กล่าว

นายธีธัช กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปลายปี 2563 ยังมีแผนที่จะเพิ่ม Shop in Shop กระจายไปทุกสาขาของโมเดิร์นเทรด โดยในปลายปี2562 คาดว่าจะขายได้ประมาณ 80 สาขา แต่ละสาขาจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 150,000 บาท  รวมไปถึงการใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ปรับปรุงโชว์รูมที่พระราม3 ให้เป็น “สมาร์ท โชว์รูม” อีกด้วย และในปี 2553 ยังมีแผนที่จะขยาย Shop ขนาดเล็กในร้านค้าของดีลเลอร์ตามหัวเมืองใหญ่ที่มีการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก ให้ได้จังหวัดละ 1-2 สาขา หรือประมาณ 150 สาขา แต่ละสาขาจะใช้พื้นที่ประมาณ 9 ตารางเมตร ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 300,000 บาท จากปัจจุบันจาร์ตันมีดีลเลอร์ทั่วประเทศประมาณ 800 ร้านค้า

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างชะลอตัวทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ และมาตรการ LTV แต่สินค้าSMART HOME SOLUTION กลับเติบโตส่วนกระแสส่วนหนึ่งมาจากผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจสินค้านวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้การที่มีสต๊อกคอนโดมิเนียมคงค้างหรือบ้านเหลือขายในตลาดเป็นจำนวนมากทำให้ผู้ประกอบการต่างหาจุดขายด้วยการนำ SMART HOME เข้าไปใช้ภายในห้องหรือในโครงการเพิ่มมูลค่าให้แก่โครงการ ทำให้ในปัจจุบันตลาดเติบขึ้นอย่างมาก โดยระบบ SMART HOME SOLUTION ของบริษัทเติบโตถึง 70-80%  ซึ่งในอดีตเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาเติบโตปีละประมาณ 10-15% เท่านั้น

“จาร์ตัน กรุ๊ป เปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ปี ประกอบด้วยธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ระบบอุปกรณ์และการติดตั้งประตูหน้าต่างอลูมิเนียม, ระบบอุปกรณ์ห้องน้ำและอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ, ระบบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ประตูหน้าต่าง และนวัตกรรมระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ โดยปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างดี จากการรับงานก่อสร้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในโครงการใหญ่ ๆ รวมไปถึงงานปรับปรุงอาคารเก่าให้กลายเป็นอาคารอัจฉริยะ จึงเล็งเห็นว่าผลิต ภัณฑ์ในกลุ่มบ้านอัจฉริยะ มีโอกาสเติบโตอีกกว่า 25-30%  ทั้งนี้ เตรียมเปิดตัว JARTON Home” แอปพลิเคชั่น พร้อมยกทัพผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่มหลัก ไปจัดแสดงภายในงาน “บ้านและสวนแฟร์mid year 2019”  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 11 สิงหาคม 2562  นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา”  นายธีธัช กล่าว

อย่างไรก็ตามในปี 2565 บริษัทฯตั้งเป้าที่จะเป็นผู้ประกอบการที่มียอดขายสูงสุด 1 ใน 5 ของกลุ่มวัสดุก่อสร้างอย่างแน่นอน โดยในปี 2562 นี้คาดว่าจะมียอดขายรวมที่ประมาณ 500 ล้านบาท(บวกลบ)

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*