เจ.เอส.พี.ฯปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ดึงขุนพลด้านการตลาด-การเงิน จากยักษ์อสังหาฯเสริมทัพ เตรียมทุ่มงบ 20 ล้านบาทรีแบรนด์โลโก้-สินค้า สร้างการรับรู้ ตั้งเป้าภายใน 2-3 ปีขึ้นแท่น 1 ใน 5 ผู้นำตลาดแนวราบ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท เปิดแผนปี62-63 รุกเปิด 8 โครงการแนวราบ รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ทั้งผุดบ้านแฝดระดับพรีเมี่ยมแบรนด์ใหม่ย่านกัลปพฤกษ์อีก 1 โครงการ พร้อมเดินหน้าระบายสต๊อกคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท
 
นายสงกรานต์ แสงอร่ามรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาดและการขาย บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือJSP เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ด้วยการดึงทีมบริหารการตลาดมาจากบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือPS และทีมการเงินจากบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือCI เข้ามาเสริมความแกร่ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และในเดือนกันยายน 2562 นี้ ยังได้เตรียมทุ่มงบอีกประมาณ 10-20 ล้านบาท ที่จะรีแบรนด์โลโก้ใหม่ที่มีความทันสมัยเพิ่มมากขึ้น  และปรับสินค้าให้มีดีไซน์ที่ทันสมัย มีคุณภาพ และบริหารหลังการขายให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและเกิดการบอกต่อ

ทั้งนี้ในช่วงระยะเวลา 3-5 ปีนี้จะเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 60% บ้านเดี่ยว 30% และบ้านแฝด 10% ซึ่งจะเน้นไปที่โครงการระดับราคา 2-3 ล้านบาท เป็นส่วนใหญ่ที่สัดส่วน 60%และรุกการพัฒนาโครงการระดับพรีเมี่ยม ราคาตั้งแต่ 7-8 ล้านบาท เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าระดับบนให้เพิ่มมากขึ้น และเป็นการยกระดับแบรนด์ของ JSP จากเดิมที่โครงการระดับพรีเมียมของ JSP จะอยู่ที่ประมาณ  6 ล้านบาท และตั้งเป้าภายในระยะเวลา 2-3 ปี  ที่จะติดอันดับ 1 ใน 5 ผู้นำตลาดแนวราบ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากยังมีแลนด์แบงก์อีกกว่า 10 แปลงทั้งในกทม.และฉะเชิงเทรา ที่ชะลอการพัฒนามา 1-2 ปี รองรับการพัฒนาอยู่แล้ว

“ปัจจุบันผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายโครงการแนวราบสูงเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท อันดับ 2 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท และอันดับ 3-5 อยู่ใกล้เคียงกันที่ 60,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะพยายามก้าวขึ้นไปติดอยู่ 1 ใน 5 ให้ได้ในช่วง 2-3 ปีนี้”นายสงกรานต์ กล่าว


นายสงกรานต์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2562-2563 ว่า เตรียมนำที่ดินสะสมมาพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,000 ล้านบาท  โดยในครึ่งปีหลัง 2562 จะมีการพัฒนาเพียง 1 โครงการ ทำเลบางบัวทอง บนที่ดิน 30 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด แบรนด์ “เจ วิลล่า” ขนาด 36-37 ตารางวา ราคาตั้งแต่ 3.29-4 ล้านบาท จำนวน 200 ยูนิต และโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ขนาด 20 ตารางวา ราคาประมาณ 4 ล้านบาท จำนวน 22 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท  ส่วนอีก 7 โครงการจะเป็นการพัฒนาในปี 2563  ได้แก่ โครงการย่านบางพระ, แพรกษา, บางใหญ่ จำนวน 2 โครงการ, บางใหญ่  (2) , ติวานนท์  บางบัวทอง

และโครงการระดับพรีเมี่ยมย่านถนนกัลปพฤกษ์ ใกล้โครงการสำเพ็ง2 ซึ่งเป็นการนำที่ดินสะสม จำนวน 9 ไร่ มาพัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ใหม่ ขนาด 36-37 ตารางวา ราคา 7-8 ล้านบาท จำนวน 70-80 ยูนิต มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท โดยจะเปิดขายประมาณไตรมาส4/2563

“การปรับกลยุทธ์การทำการตลาด เราจะเน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ JSP ใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่รู้จักเฉพาะโครงการสำเพ็ง 2 การปรับภาพลักษณ์ของทีมบริหารที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามา และการปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการและงานบริการหลังการขาย ที่สร้างความน่าสนใจที่ช่วยดึงดูดลูกค้า และสร้างความมั่นใจในคุณภาพในโครงการที่ JSP เพิ่มมากขึ้น ทั้งงานก่อสร้างและงานบริการหลังการขาย” นายสงกรานต์ กล่าว

ขณะเดียวกันบริษัทฯยังเดินหน้าระบายสต๊อกเก่าที่มีอยู่ โดยเฉพาะสต๊อกของโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังมีเหลืออีกมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จาก 2 โครงการคอนโดมิเนียมที่เหลือขาย ได้แก่ J Condo สาทร-กัลปพฤกษ์ ที่ยังเหลือขายอีก 600 ยูนิต และโครงการไมอามี่ บางปู ที่เหลือขายในส่วนของอาคารที่พัฒนาแล้วอีก 900 ยูนิต ซึ่งบริษัทจะทยอยขายออกไปเพื่อสร้างรายได้กลับเข้ามาให้กับบริษัท เพื่อนำรายได้ไปต่อยอดการพัฒนาโครงการอื่นๆต่อไป โดยที่บริษัทคาดว่าโครงการ J Condo สาทร-กัลปพฤกษ์ จะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 2563

อีกทั้งการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆในอนาคต บริษัทฯคาดว่าจะใช้งบในการซื้อที่ดินใหม่เข้ามาพัฒนาเฉลี่ย 3,000 ล้านบาท/ปี เพื่อนำมาพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด ส่วนยอดโอนในปีนี้บริษัทมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ 4,060 ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกมียอดโอนแล้ว 2,000ล้านบาท ซึ่งมาจากการขายสต๊อกที่เหลืออยู่เป็นส่วนใหญ่ และยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2563

ด้านนางสาวกนกพร สาณะวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน JSP กล่าวว่า ด้านการวางแผนทางการเงินของบริษัทหลังจากปรับโครงสร้างแล้วนั้น บริษัทฯจะเดินหน้าลดต้นทุนและลดภาระดอกเบี้ยจ่ายให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเร่งการขยายสินค้าที่เหลืออยู่ เพื่อนำเงินกลับมาใช้คืนหนี้และเป็นสภาพคล่องให้กับบริษัท ส่วนเงินที่ใช้รองรับสำหรับการลงทุนนั้นจะมาจากเงินกู้ยืมสถาบันการเงินและกระแสเงินสดของบริษัทที่รองรับการการซื้อที่ดินและการพัฒนาโครงการ อีกทั้งบริษัทยังมีแผนการออกหุ้นกู้วงเงิน 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี แบบไม่มีเครดิตเรตติ้ง ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อไว้ใช้รองรับการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการ

ราได้เข้ามาช่วย JSP แก้ปัญหาในระยะแรก ด้วยการผลักดันโครงการที่ชะลอตัวให้เดินหน้าต่อไปได้ และหาพันธมิตรด้านสถาบันการเงินเพิ่ม เพื่อเพิ่มศักยภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัทฯ”นางสาวกนกพร  กล่าวในที่สุด

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*