ลลิลฯเชื่อตลาดคอนโดฯปีนี้ติดลบ 20-30% ส่วนแนวราบเติบโต 3-5% หวังรัฐบาลชุดใหม่ดันเศรษฐกิจฟื้น เดินหน้าระบบสาธารณูปโภค-EEC ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืน ครึ่งปีหลัง62 จ่อผุด 5 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท คาดกวาดยอดขายตามเป้า 5,600 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2562 ที่ผ่านมาว่า ตลาดรวมสำหรับผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดฯลดลงรุนแรง ขณะที่ตลาดผู้ซื้อเพื่อการลงทุนโดยมากจะอยู่ในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เป็นผลจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์  (Loan to Value : LTV)ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน  2562 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อลงทุนลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่มั่นใจว่าจะขอสินเชื่อได้หรือไม่ เชื่อว่าจนถึงสิ้นปีนี้ตลาดคอนโดฯจะติดลบถึง 20-30%  ขณะที่ตลาดแนวราบยังไม่ได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังเป็นเรียลดีมานด์ คาดว่าจนถึงสิ้นไปจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 3-5%

ด้านปัจจัยบวกสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยแนวโน้มลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว และ สหรัฐอเมริกา ลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ซัพพลายคอนโดฯเข้าสู่ตลาดน้อยลงเพราะมีหลายบริษัทปรับกลยุทธ์ชะลอการเปิดโครงการ   ซึ่งจะช่วยให้ตลาดปรับสู่สมดุลมากยิ่งขึ้น และจะช่วยผ่อนคลายให้ราคาที่ดินไม่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ปัจจัยจากสงครามการค้า คือ จะมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนสู่ไทยเพิ่มขึ้น และกลยุทธ์ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก  (Eastern Economic Corridor : EEC) ของรัฐบาลใหม่น่าจะผลักดันต่อเนื่อง ทำให้โอกาสธุรกิจใน EEC ดีขึ้น แต่คงต้องรอเวลา1-2 ปี  โดยเชื่อว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะเห็นถึงความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อชดเชยยอดส่งออกและท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เพื่อดึงความเชื่อมั่นในการลงทุน ของภาคเอกชนและการบริโภคของประชาชนให้กลับคืนมาโดยเร็ว ซึ่งการกระตุ้นการบริโภคผ่านภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ควรต้องผลักดันมาตรการ LTV ลงชั่วคราว เนื่องจากใช้ในจังหวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อรักษาดุลยเศรษฐกิจให้มี Growth เพิ่มขึ้น

สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็อยากให้ผลักดันการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค และ  โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก  (Eastern Economic Corridor : EEC)อย่างต่อเนื่อง  แม้ว่าการส่งออก  การท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะชาวจีนแต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆมาทดแทน

“การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังจัดตั้งรัฐบาล จะยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จากการเร่งระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จ และที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องระมัดระวังการลงทุนใหม่ โดยเน้นตลาดสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่จริงเป็นตลาดหลัก และพยายามรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน  (Debt to Equity Ratio : D/E) ไม่ให้สูงเกินไป รวมถึงรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ขณะที่ผู้บริโภคจำเป็นจะต้องวางแผนทางการเงินในการซื้อบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการขอสินเชื่อกับธนาคาร” นายไชยยันต์ กล่าว

นายไชยันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้จะเปิดตัวประมาณ 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 5,000  ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท และมียอดขายแล้ว 3,100 ล้านบาท ส่วนในครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 5 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวจะเป็นโครงการที่จ.ระยอง 1 โครงการ เพื่อรองรับการเติบโตของ EEC แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯมีBacklog จำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ได้ภายในปีนี้ทั้งหมด สำหรับยอดขาย 3,100 ล้านบาทนั้น คิดเป็น 58% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 5,600 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าทั้งปีจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*