สโคปฯโทมัส ยูล-ฮันเซน” ดีไซเนอร์ชาวเดนมาร์ก ออกแบบโครงการ “สโคป หลังสวน” เผยเพียง 1 สัปดาห์ยอดขายพุ่ง 30 ยูนิต มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท ฟุ้งเพนท์เฮาส์ ราคา 250 ล้านบาท จำนวน 3 ยูนิต นักลงทุนซื้อเกลี้ยงแล้ว จ่อผุดอีก 2 โครงการ ย่านทองหล่อ-สุขุมวิท
นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่มีข่าวออกมาเป็นระยะๆว่าตลาดคอนโดฯเกิดโอเวอร์ซัพพลายนั้น  มองว่าอยากให้แยกเป็นเซกเมนต์ ผู้ประกอบการที่ต้องการมียอดขายที่ดี ก็ควรที่จะพัฒนาตลาดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ แต่ทำเลและราคาต้องตอบโจทย์ดีมานด์ด้วย  โดยทุกวันนี้ ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ลูกค้ากลุ่มใหม่ไม่ได้มองความหรูหราว่าเป็นเรื่องของการใช้วัสดุแพงๆ เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ลูกค้ากลุ่มนี้จะมองว่าความหรูหราเป็นเรื่อง “คุณภาพของกระบวนการความคิด” ที่ใส่เข้าไปในขั้นตอนการออกแบบที่ยอดเยี่ยม และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยมอย่างเหมาะสม  สิ่งที่พวกเขามองหาคือสุดยอดดีไซน์ ความเรียบง่ายที่โอ่โถงสะอาดตา ประโยชน์ใช้สอย รสนิยมที่ดี และการใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างสูงสุด เพื่อมุ่งให้เป็นบ้านที่ทำให้ทุกวันของผู้อยู่อาศัยมีความสุขมากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ล่าสุดได้ดึง“โทมัส ยูล-ฮันเซน” ดีไซเนอร์ชาวเดนมาร์ก ผู้ออกแบบภายในให้กับอาคารที่พักอาศัยที่แพงที่สุดในนิวยอร์ค คืออาคาร ONE57 หรือ  “The Billionaire Building” ซึ่งเป็นอาคารที่มีห้องชุดพักอาศัยราคาแพงที่สุดของนิวยอร์คนับถึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยราคาขายที่พักอาศัยอยู่ที่ราคา 3,140 ล้านบาท (100.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) และอาคารนี้ยังถือเป็นอาคารที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในมหานครนิวยอร์คเมื่อตอนเปิดตัวเมื่อปี 2557 อีกด้วย มาร่วมออกแบบให้กับโครงการ “สโคป หลังสวน” ด้วย


โดยโครงการ “สโคป หลังสวน” เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SCในสัดส่วน 90% และนางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ สัดส่วน 10% บนพื้นที่ 880 ตารางวา หรือกว่า 2 ไร่  ที่ SC ซื้อมาจากตระกูล “พิชัยรณรงค์สงคราม”ด้วยราคาที่ดินมูลค่าเกือบ 3,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3.1 ล้านบาท/ตารางวา พัฒนาเป็นคอนโดฯระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สูง 34 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 83-443 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 38-250 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยประมาณ 460,000 บาท/ตารางเมตร โดยราคาสูงสุดเป็นห้องเพนท์เฮาส์ ซึ่งมีจำนวน 3 ยูนิต ราคาประมาณ 564,000 บาท/ตารางเมตร รวมทั้งสิ้น 158 ยูนิต มูลค่าโครงการ 8,400 ล้านบาท

ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณ 30 ยูนิต ซึ่งเป็นยอดขายเพียง 1 สัปดาห์ คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท โดยห้องแบบเพนท์เฮาส์ ทั้ง 3 ยูนิต ได้มีนักลงทุนซื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลูกค้าที่มาซื้อห้องชุดในโครงการส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย  และบริษัทฯไม่มีนโยบายที่จะไปโรดโชว์ที่ต่างประเทศแต่อย่างใด เพราะมั่นใจว่าคนไทยมีความเข้าใจตลาดคอนโดฯระดับดังกล่าวได้มากกว่าชาวต่างชาติ โดยลูกค้าที่ซื้อแต่ละรายจะมีพอร์ตไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท  และในวันที่ 29-30 มิถุนายน 2562 นี้ จะเปิดขายให้ลูกค้าวีไอพี อีกรอบหนึ่ง

“โครงการนี้มีต้นทุนที่ดินที่ 40% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด จากปกติโครงการทั่วไป ต้นทุนที่ดินจะอยู่ที่ประมาณ 30% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ดังนั้นในเรื่องของการออกแบบก็จะต้องตอบโจทย์ลูกค้า ให้สมกับราคาที่ได้ดีไซน์ออกมา ซึ่งจะทำให้มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง คาดว่ารูปแบบจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ 100% ที่จะแล้วเสร็จในปี 2566 นี้” นายยงยุทธ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะลงทุนเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง อีกอย่างน้อย 2 โครงการ คือทำเลทองหล่อและถนนสุขุมวิท ขณะนี้มีที่ดินรองรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*