พฤกษาฯรับLTV พ่นพิษภาคอสังหาฯอย่างมีนัย ระบุลูกค้ากลุ่มทาวน์เฮาส์ ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทกระทบมากสุด ถูกปฏิเสธสินเชื่อเพิ่ม 7-8% จวกมาตรการล่าสุดไม่ตอบโจทย์ แนะรัฐบาลใหม่ช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไปจะถูกจุด ล่าสุดปรับแผนการขาย หวังกระตุ้นกำลังซื้อด้วยแคมเปญ“PRUKSA Living Tech”ตอกย้ำผู้นำเทคโนโลยีมั่นใจยอดขายรับรู้รายได้ทั้งปีเป็นไปตามเป้า
นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2/2562 ว่า ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยของเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว และปัจจัยลบจากการเริ่มบังคับใช้ของเกณฑ์กำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan To Value : LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เมื่อต้นเดือนเมษายน2562 ที่ผ่านมา  และแนวโน้มอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน(Reject) ของลูกค้าบริษัทฯในปัจจุบันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 7-8% โดยกลุ่มที่ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นจะเป็นกลุ่มทาวน์เฮาส์ ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากเกณฑ์ของ LTV ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดสินเชื่อมากขึ้นซึ่งมองว่าเกณฑ์LTV นั้นเป็นปัจจัยที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ทำให้กระทบต่อผู้ประกอบการ ธนาคารพาณิชย์ และลูกค้ากับกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้น เข้ามาเป็นข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิต ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในตอนนี้ถูกบีบรัดจากเกณฑ์ LTV ค่อนข้างมาก ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงที่ผู้บริโภค 1 คน สามารถมีบ้านได้มากกว่า 1 หลัง ถือว่าเป็นเรื่องปกติและมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่ออกมาล่าสุดในการลดค่าธรรมเนียมการโอนบ้านราคาต่ำกว่า1 ล้านบาท นั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าส่วนใหญ่ได้ เพราะปัจจุบันราคาบ้านส่วนใหญ่จะเกิน 1 ล้านบาท ทำให้มาตรการที่ออกมาไม่ส่งผลบวกต่อภาพรวมของตลาดมากนัก

ดังนั้น อยากให้ภาครัฐหรือหน่วยงานต่างๆออกมาตรการให้ตอบโจทย์กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนควรที่จะครอบคลุมบ้านระดับราคาที่เกิน1 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ซื้อบ้านส่วนใหญ่ได้มากกว่าบ้านราคาต่ำกว่า1 ล้านบาทส่วนมาตรการLTV อาจจะกระทบการกู้สินเชื่อของลูกค้าไปบ้างซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าภาคอสังหาฯTight มากเกินไปกระทบทั้งผู้ประกอบธนาคาร  และลูกค้าซึ่งอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศช่วยเดินหน้าผลักดันมาตรการต่างๆออกมากระตุ้นภาคอสังหาฯซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ แต่หากภาคอสังหาฯมีผลกระทบก็จะกระทบภาคอื่นๆไปตามไปด้วยเช่นกัน

จากปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯต้องมีการปรับกลยุทธ์การขายใหม่ ในช่วงไตรมาส2/2562 ซึ่งจะต้องมีการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อบ้านเพิ่มมากขึ้นจากที่ช่วงไตรมาส1/2562 ที่การซื้อที่อยู่อาศัยของทั้งตลาดหดตัวลง 18% เนื่องจากลูกค้าชะลอดูสถานการณ์ต่างๆให้มีความชัดเจนและยังไม่มืความมั่นใจซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งยังส่งผลต่อเนื่องมาในไตรมาส2/2662

ด้วยการกระตุ้นการขาย โดยจัดโปรโมชั่นออกมาเพิ่มขึ้น ผ่านแคมเปญต่างๆที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้าได้ เพื่อทำให้ลูกค้ามีความสนใจมาซื้อที่อยู่อาศัยของบริษัทฯเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในด้านของการโอนนั้น บริษัทฯได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ที่เป็นพันธมิตร ในการให้ดอกเบี้ยในอัตราพิเศษและมอบสิทธิพิเศษต่างๆให้กับลูกค้า ส่วนการเปิดโครงการใหม่นั้น บริษัทฯจะพิจารณาเปิดเฉพาะโครงการที่มีศักยภาพที่ลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่ให้ความสนใจในช่วงนั้นๆเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยให้โครงการใหม่ที่เปิดพรีเซลสามารถสร้างยอดขายได้อย่างดี โดยยอดขายในช่วง5 เดือนที่ผ่านมาของบริษัทฯ สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดแคมเปญการตลาดภายใต้ชื่อ“PRUKSA Living Tech” ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ  เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโลยีโดยเน้นเรื่องความใส่ใจซึ่งต่อยอดมาจากBrand Purpose ที่ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิตด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆลงลึกไปสู่สินค้าทั้ง 14 แบรนด์ โดย“PRUKSA Living Tech” จะเป็นการนำเทคโนโลยีที่ผสานกับนวัตกรรมทางธรรมชาติ ที่เกิดจากการเข้าใจ Insight ของลูกค้าและคนไทยอย่างแท้จริง พร้อมเนรมิตอาคารเพิร์ลแบงก์ค็อกอารีย์ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของพฤกษาฯ ให้เป็น“PRUKSA Living Tech Space” เปิดประสบการณ์ใหม่ในรูปแบบของ Glass House ที่ยกสวนสวยขนาดใหญ่พร้อมกับเทคโนโลยีการอยู่อาศัยสุดล้ำ โดยไฮไลท์อยู่ที่ระบบ O2 System ที่มาพร้อมกับ Co-working space ให้คนกรุงได้เข้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์เปรียบเสมือนได้พักผ่อนอยู่ในโอเอซิสใจกลางกรุงเทพฯโดยจะเปิดให้ชมตั้งแต่วันที่ 6-16 มิถุนายน  2562 พร้อมกิจกรรมที่น่าสนใจในแต่ละวัน เช่น ตรวจสุขภาพฟรี, นวดบำบัดอาการออฟฟิศซินโดรม, เวิร์คชอปสอนถ่ายภาพDIY การดัดแปลงวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น

ในปีนี้บริษัทฯมั่นใจว่ายอดขายและรายได้ ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือที่ 54,000 ล้านบาท และ 47,000 ล้านบาท ยอดRejectพุ่งตามลำดับ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*