ฮาบิแททฯเชื่ออสังหาฯเพื่ออยู่อาศัยยังชะลอตัว ขณะที่การซื้อเพื่อลงทุน โดยเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยวพัทยายังโตต่อเนื่อง ระบุต้นปี62ผู้ประกอบการไทย-เทศ แห่ผุดโปรเจกต์ยักษ์ 5-8 โครงการ แย้มแผนครึ่งปีหลังเปิดตัว 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท พร้อมดึง 2 พันธมิตรญี่ปุ่นผนึกกำลังพัฒนาคอนโดฯลักชัวรี่ในกทม.และบริหารโครงการ คาดทั้งปียอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท
 นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปีนี้ว่า อสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยผู้ซื้อคนไทยจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (loan-to-value: LTV) และการเมืองในประเทศที่ยังไม่นิ่ง ขณะที่กำลังซื้อจากต่างชาติ ก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน  แต่สินค้าระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ยังได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนระดับราคา 5-10 ล้านบาท ดีมานด์จะมีการตัดสินใจซื้อที่ช้าลง
อย่างไรก็ตามในส่วนของการซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุนมีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้ดูแล โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในพื้นที่หัวเมืองท่องเที่ยว ที่ยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ในพื้นที่กทม. ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่าซัพพลายมีมากเกินกว่านักลงทุนและผู้เช่า ทำให้ผู้ที่เคยลงทุนซื้ออสังหาฯในกทม.ไม่สามารถปล่อยเช่าได้ทั้งหมด คือปล่อยเช่าได้เพียง 60-70% เท่านั้น และมีผลตอบแทนเพียง 3%เท่านั้น  ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ซัพพลายในหัวเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะพัทยา ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กทม.มากที่สุดและอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) หากซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะได้ผลตอบแทนปีละ 7-8% โดยนักลงทุนที่เข้าไปซื้ออสังหาฯพัทยา จะแบ่งเป็นคนไทยและต่างชาติในสัดส่วนที่เท่ากัน คือ 50:50 ซึ่งชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อการลงทุนมากที่สุดคือ จีน สัดส่วน 60-70% รองลงมาเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย และตะวันออกกลาง

ขณะที่ซัพพลายในพัทยาตั้งแต่ช่วงปี 2558-2561 ค่อนข้างน้อย แต่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 พบว่ามีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดพัทยามากถึง 5-8 โครงการ และส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่ละอาคารมีความสูงตั้งแต่ 50-60 ชั้น รวมประมาณ 1,500-2,000 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นการพัฒนาโดยนักลงทุนชาวต่างชาติถึง 70-80% ส่วนใหญ่เป็นชาวอิสราเอล,ยุโรป และจีน  ที่เน้นขายชาวต่างชาติด้วยกัน ซึ่งได้รับการตอบรับดี แต่ในส่วนการขายที่เป็นโควตาสำหรับคนไทยจะไม่ค่อยมียอดขายมากนัก ทำให้มีซัพพลายจากโควตาคนไทยมากพอสมควร คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการระบายสินค้าอย่างน้อย 2-3 ปี

 

“พัทยาเป็นตลาดที่ชาวต่างชาติเข้ามาพัฒนานานมากแล้ว และตั้งแต่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนEEC ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดพัทยามีอัตราการเติบโตยิ่งขึ้น แต่ซัพพลายเก่าที่เป็นโควตาสำหรับคนไทย ซึ่งยังเหลือขายอยู่นั้น คงต้องใช้ระยะเวลาในการระบายถึง 2-3 ปี”นายชนินทร์ กล่าว

 นายชนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการลงทุนของบริษัทฯในครึ่งปีหลัง 2562 ว่าจะเปิดตัวอีกอย่างน้อย 3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯระดับลักชัวรี่ในย่านสุขุมวิท  2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “วาลเด้น” (Walden) รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนประมาณกว่า 100 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 35-60 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 6.9-14 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 200,000-300,000 บาท/ตารางเมตร โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวบริษัทฯได้ดึงพันธมิตรชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการอสังหาฯมาร่วมทุน ด้วยการก่อตั้งบริษัทฯใหม่ขึ้นมาพัฒนา รวมไปถึงดึงอีก 1 พันธมิตรจากญี่ปุ่นเข้ามาบริหารจัดการโครงการและทำการตลาดโครงการในกทม. ด้วยการหาลูกค้าต่างชาติในประเทศใหม่ๆที่บริษัทฯยังไม่เคยเข้าไปทำการตลาดด้วย คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาส3/2562 นี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส ย่านจอมเทียน อีก 1 โครงการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 8 ไร่เศษ  ประกอบด้วยคอนโดฯโลว์ไรส์-ไฮไรส์ และโรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะใช้แบรนด์ใหม่ เนื่องจากจะเป็นเชนใหม่จากสหรัฐฯเข้ามาบริหารโครงการ

 

อย่างไรก็ตามในปี2562 นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 1,000 ล้านบาทบวกลบ จากปี 2561 ที่มียอดขาย 2,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 300 ล้านบาท (เนื่องจากในปีดังกล่าวมีการโอนโครงการน้อย แต่จะมีการโอนมากในช่วงปี 2562-2564)

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*