สิงห์ เอสเตทฯมั่นใจตลาดรร.-ท่องเที่ยวโต เตรียมดันเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ทฯแต่งตัวเข้าตลาดฯคาดเสนอขาย IPO ได้ไตรมาส 3/62 หวังนำเงินระดมทุนขยายธุรกิจรร.ใน-ตปท. ตั้งเป้า 100 แห่ง ในปี 68ระบุยังถือหุ้นใหญ่ ไม่ต่ำ 51% มั่นใจรายได้ปี62แตะ 20,000 ล้านบาท
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ S เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ว่ามีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ องค์การท่องเที่ยวโลก (The World Tourism Organization : UNWTO) พบว่า ปี 2561 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 1,400 ล้านคน เติบโตจากปี 2560  ประมาณ 6%  โดยภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวสูงถึง 343 ล้านคน  โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตถึง 7%  นอกจากนั้น UNWTO ยังคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวโลกจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอเชียที่ปี 2561 คาดว่าจะเติบโต 5-6% ในเชิงคุณภาพจากข้อมูลของ World Travel & Tourism Council หรือ WTTC  พบว่านักท่องเที่ยวยังคงแสวงหาการสัมผัสประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น การเข้าถึงธรรมชาติที่สวยงามอุดมสมบูรณ์ และมุ่งเรียนรู้ศึกษาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในระยะยาวเหมาะสมที่จะลงทุนขยายธุรกิจ จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มธุรกิจโรงแรมของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท  จะมีความพร้อมและสามารถนำพา สิงห์ เอสเตทฯ สู่การเป็นโกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี ได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต

ดังนั้นในปี2562 นี้บริษัทฯจึงได้เตรียมนำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด(มหาชน)หรือ SHR  เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยวางแผนเสนอขายหุ้น IPO เป็นจำนวนไม่เกิน 40% ของทุนชำระแล้ว ของ SHR ภายหลังการเพิ่มทุน โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 1,437.45 ล้านหุ้นโดย SHR ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งมีทั้งหุ้นสามัญเพิ่มทุน และหุ้นสามัญเดิม ที่ SHRSG จะนำออกมาเสนอขาย โดยมีธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMB และธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขาย IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงไตรมาส 3/2562

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทจะนำไปใช้ลงทุนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งรวมถึงโครงการ ครอสโรด์ (Crossroads) เฟส 1 ที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์ โครงการปรับปรุงและพัฒนาโรงแรม Outrigger โครงการปรับปรุงพัฒนาโรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท ใช้เป็นเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนำเงินไปชำระคืนเงินกู้จาก สิงห์ เอสเตท และเงินกู้จากสถาบันการเงิน เพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า โดยปัจจุบันมีหนี้สินทั้งหมด 12,000 ล้านบาท และเงินส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ปัจจุบัน SHR มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้นของ SHR นั้น บริษัท เอส โฮลเทล แอนด์ รีสอร์ท อินเตอร์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 81% ภายหลัง IPO สัดส่วนจะลดเหลือ 48.60% SHRSG ถือหุ้น 19% ภายหลัง IPO จะเหลือ 11.40%

ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อินเตอร์ คือ สิงห์ เอสเตทฯ และหลัง IPO SHR จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของสิงห์ เอสเตทฯ เหมือนเดิม โดยมีนโยบายคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ทฯ สัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 51%

สำหรับการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ไปแล้วเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 62 ที่ผ่านมา

ด้านแผนการการดำเนินงานของ SHR ในระยะยาวนั้น ตั้งเป้ามีจำนวนโรงแรมเพิ่มเป็น 100 แห่ง ภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีจำนวนโรงแรมทั้งสิ้น 39 แห่ง จำนวน 4,647 ห้อง ซึ่งในปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนในการขยายและปรับปรุงโรงแรมในเครือประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท พร้อมกับยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสในการลงทุนโรงแรมใหม่ๆ การเข้าซื้อโรงแรม การร่วมทุนกับพันธมิตร และการเข้าไปบริหารโรงแรม ซึ่งจะทำให้บริษัทมีขนาดของพอร์ตโรงแรมที่มากขึ้น และทำให้มีสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่เป็นรายได้ประจำให้กับ S ในสัดส่วน 50% ได้อย่างมั่นคง จากปีก่อนที่มีสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโรงแรมใน S ประมาณ 40%

นอกจากนี้ยังมองไปถึงโอกาสในการที่จะนำโรงแรมในเครือเข้าจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพื่อจะนำเงินไปต่อยอดการลงทุนในโครงการโรงแรมใหม่ๆในอนาคต โดยที่การลงทุนโรงแรมในเครือจะกระจายไปยังประเทศต่างๆที่มีศักยภาพ และจะเน้นโรงแรมที่ไม่มีฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ซึ่งจะช่วยให้โรงแรมที่บริษัทลงทุนมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับผลการดำเนินงานของ SHR ในปี 2561  มีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่กว่า 400 ล้านบาท มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 26,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2562 และ 2563 จะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรายได้หลังจากที่ปี 2562 มีการรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีของโรงแรม Outrigger ทั้งหมด 6 แห่ง และในช่วงกลางปีนี้จะทยอยเปิดให้บริการโรงแรมในมัลดีฟส์อีก 2 แห่ง ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาเสริมอีก และจะรับรู้รายได้จากโครงการในมัลดีฟส์เต็มปีในปี 2563 หนุนให้รายได้ของบริษัทเติมโตอย่างก้าวกระโดด โดยที่มั่นใจว่ารายได้ของ S ในปี 2562 จะอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*