ซื่อตรง กรุ๊ป หวังรัฐบาลชุดใหม่ผ่อนกฎเกณฑ์เอื้อธุรกิจอสังหาฯ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจขาลง เปิดแผนปี62 จ่อผุดแนวราบเฟสต่อเนื่อง 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท อนาคตสนงัดแลนด์แบงก์ย่านระยองรองรับEEC คาดปีนี้กวาดยอดขายรวม 1,500 ล้านบาท รับรู้รายได้ 1,200 ล้านบาท
 นายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซื่อตรง กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเลือกตั้งและหากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้น ในส่วนของผู้ประกอบการจะกังวลในในเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงมากที่สุด เพราะในช่วงหาเสียงได้มีบางพรรคการเมืองจะประการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-500 บาทต่อวัน หากมีการปรับขึ้นค่าแรงจริงจะส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นสูง 10-20% และจะกระทบเป็นลูกโซ่ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯมีต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงต้องบวกราคาขายที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตาม เชื่อว่าราคาขายจะพุ่งขึ้นสูง 5-10% สุดท้ายผู้บริโภคก็จะเป็นผู้แบกรับภาระ

ส่วนกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ…. ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 นั้นหากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นผู้ออกกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่แรก จะผ่อนปรนขยายระยะเวลาออกไปอีกประมาณ 1-2 ปีหรือไม่ เพราะมองว่าขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ดีขึ้น และยิ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศใช้มาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ยิ่งส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลงอีกถึง 20% แต่ก็หวังว่าในช่วงไตรมาส3-4/2562 กลุ่มผู้ซื้อเพื่อการเก็งกำไรลดลงไป ธปท.ก็อาจจะมีการผ่อนปรนมาตการLTV ลงบ้าง  ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาในเรื่องดังกล่าวข้างต้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2562 จะเป็นการเปิดตัวเฟสต่อเนื่องในโครงการที่เปิดขายก่อนหน้านี้ จำนวน 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ได้แก่

1.เฟสต่อเนื่องในโครงการ ซื่อตรง โคซี่ บางบัวทอง-340  เฟส6 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 40 ไร่ (จากพื้นที่ทั้งหมด 400 ไร่)พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาด 22 ตารางวา จำนวนกว่า 300 ยูนิต ราคา 2.2-2.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดพรีเซลในเดือนเมษายน 2562 นี้

2.เฟสต่อเนื่องในโครงการ “ซื่อตรง พรีเมี่ยม พระราม2(แสมดำ)” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 50 ไร่ (จากทั้งหมด 150 ไร่ โดยก่อนหน้านี้พัฒนาไปแล้ว 60 ไร่) พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 100 ตารางวา จำนวน 200 ยูนิต ราคา 6-8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส4/2562 แต่ถ้าหากสภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวก็อาจจะเลื่อนการเปิดตัวไปต้นปี 2563

“ต้องดูว่ามาตรการLTV จะมีผลกระทบหรือไม่ เพราะก่อนที่มาตรการจะประกาศใช้ เราก็ได้ปรับรูปแบบบ้านจากเดิมเป็นบ้านพร้อมอยู่ สัดส่วน 60% บ้านผ่อนดาวน์ 40% เป็นบ้านผ่อนดาวน์มากขึ้นในสัดส่วน 80%  และให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนแปลงและต่อเติมก่อนโอนกรรมสิทธิ์ได้ เพื่อเป็นจุดขายโครงการ ส่วนบ้านพร้อมอยู่ก็ลดสัดส่วนมาอยู่ที่ 20%”นายรุ่งรัตน์ กล่าว

นายรุ่งรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังมีที่ดินสะสมในจ.ระยองอีก 2 แปลง คือทำเลแถวหาดพลา อ.บ้านฉาง และอ.แกลง จำนวนแปลงละ 60-70 ไร่ ทั้งนี้คงรอให้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)มีความชัดเจนมากกว่านี้ก่อน คาดว่าภายในระยะเวลา 3-4 ปีจึงจะพิจารณานำมาพัฒนา

ปัจจุบันบริษัทยังมีโครงการที่เปิดขายทั้งสิ้น 7 โครงการ 4 ทำเล คือ บางบัวทอง,รังสิต คลอง6,พระราม2 และบางเสร่ จ.ชลบุรี  คิดเป็นมูลค่าเหลือขายประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท จากมูลค่ารวมทั้งหมด 7,000-8,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดว่าในปีนี้บริษัทจะสามารถทำยอดขายรวมได้ 1,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 1,200 ล้านบาท