“แสนสิริ” เกาะติดปัญหาการเมือง-LTV ก่อนปรับแผนธุรกิจใหม่ไตรมาส 3/2562 พร้อมเผยการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 เน้นให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวและต้นไม่ใหญ่ และการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ Tree Story มากขึ้น หวังใช้เป็นจุดขายสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค
 
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงยอดขาย(Presale) รวมของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 1/2562 มีเกือบ 11,000 ล้านบาทใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนที่จะมีการปรับเป้าหมายใหม่หรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆประกอบ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตามปัจจัยลบต่างๆ อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเมือง รวมทั้งมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV : loan-to-value ) ใหม่ที่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562ที่ผ่านมา

นายอุทัย อุทัยแสงสุข


“หากจะมีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการ หรือปรับลดเป้ายอดขาย รายได้คาดสรุปความชัดเจนได้ในช่วงไตรมา 3/2562”
นายอุทัย กล่าว พร้อมกับระบุว่าในเบื้องต้นนี้ยังคงดำเนินการตามแผนปี 2562 ที่ประกาศไว้เมื่อช่วงต้นปี นั้นคือ
  • ในปี 2562 นี้ แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการรวมมูลค่ากว่า 46,600 ล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 22,400 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 18,700 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 7 โครงการรวมมูลค่า 5,500 ล้านบาท
  • มุ่งเน้นเปิดตัวโครงการระดับกลาง (Medium Segment)และระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น (Affordable Segment) โดยคิดเป็นสัดส่วนรวม 96% ของมูลค่าการเปิดตัวโครงการทั้งหมด
  • ตั้งเป้า Presale ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท
  • เป้ายอดโอน(รายได้)รวมที่ 32,000 ล้านบาท
  • วางเป้าหมายระยะยาว 3 ปี ในการสร้างยอด Presale รวมกว่า 160,000 ล้านบาทระหว่างปี 2562-2564

โดย ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีสินค้ารอโอน ในมือมูลค่ารวมกว่า 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าแนวราบ 3,500 ล้านบาท และเป็นสินค้าคอนโดมิเนียมประมาณ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯมีการออกแคมเปญโปรหมดเปลือก เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง

นายอุทัย กล่าวอีกว่า การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 บริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับการออกแบบแลนด์สเคปพื้นที่สีเขียวและต้นไม่ใหญ่ และการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ Tree Story มากขึ้น ตามแนวคิดซึ่งกว่า 35 ปีที่ดำเนินธุรกิจก็ยึดหลักการออกแบบพื้นที่สีเขียวมาตลอดภายใต้หลักการในแบบ Eco-Planting ทั้งในโครงการแนวสูงและแนวราบที่พัฒนามาร่วม 400 โครงการรวมแล้วราวๆ 4,000 ล้านบาท  เฉลี่ยเม็ดเงินลงทุนเกี่ยวกับต้นไม้ผ่าน 4 กระบวนการคือ “เก็บ เลือก ปลูก รักษา” โครงการละกว่า 5 ล้านบาทสำหรับโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ส่วนโครงการแนวราบเฉลี่ย 10-15 ล้านบาทต่อโครงการ

นอกจาก 3 อันดับแรกของการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ประกอบด้วย ทำเลที่ตั้ง -ราคา และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการแล้ว บริษัทฯเชื่อว่าการจัดพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้และหญ้าภายในโครงการ เพื่อชูเป็นจุดขายที่สำคัญ โดยจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะเป็นแรงจูงใจให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย