“เนอวานา ไดอิ” รับอสังหาฯ ปี 62 ยังเผชิญหลายปัจจัยลบ มั่นใจตลาดระดับบนยังเติบโตดี เปิดแผนปีหมูรุกแนวสูง-แนวราบ 11 โครงการ  รวมมูลค่า 17,000 ล้านบาท เดินหน้าบริหารงานระบบ Turnkey Solutions กับพันธมิตรจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว ระบุเป็นที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิดใหม่ Living Revolution ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 5,400 ล้านบาท เติบโตกว่า 100%  คาดรายได้โต 40%

 

นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD  เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ว่า  ยังไม่สดใสมากนัก เพราะมีปัจจัยลบมากระทบตลาดโดยรวมหลายประการ อาทิ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้น กฎระเบียบในการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทย ก็ยังไม่ได้มีการขยายตัวในอัตราที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม อสังหาริมทรัพย์ในระดับบน เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ราคาแพง ยังคงมีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่และยังสามารถเติบโตได้ในอัตราที่ดี

 

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทฯ จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ภายใต้แนวคิดใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 17,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยโครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ โดยจะมีแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ The Most by Nirvana  ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดในปี 2562 จำนวน 2 โครงการ ย่านอิสรภาพและประชาชื่น ราคาขาย 2-6 ล้านบาท/ยูนิต ส่วนโครงการแนวราบจะมี 2 แบรนด์ใหม่ คือ แบรนด์ Nirvana ELEMENT ราคาขาย 8-15 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดย่านบางนาและกรุงเทพกรีฑา พร้อมกับแบรนด์ Nirvana COLLECTION ที่เป็นโครงการบ้านหรูระดับราคา 40-90 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมพัฒนา ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์ใหม่ของโครงการแนวราบจะมาเติมเต็มช่องวางทางการตลาดของแบรนด์ Nirvana DEFINE ระดับราคา 8-16 ล้านบาท และ Nirvana BEYOND ระดับราคา 20 ล้านบาท

 

อีกทั้งการพัฒนาโครงการของบริษัทในปีนี้ ยังคงเดินหน้าการรับงานรับสร้างบ้านและบริหารการขาย (Turnkey Solutions) ให้กับเจ้าของที่ดินหรือพันธมิตรที่สนใจ ซึ่งจะต้องเป็นที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาที่มีความต้องการของตลาดรองรับ ซึ่งในปีนี้จะมีการพัฒนาโครงการที่หนองประจักษ์ จ. อุดรธานี ซึ่งได้ขายไปแล้ว 9 ยูนิต ราคาขาย 25 ล้านบาท และในปีนี้จะมีโครงการ Turnkey ในทำเลพัฒนาการ กรุงเทพกรีฑา และบางนา ประกอบกับบริษัทกำลังมองหาที่ดินจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นหัวเมืองใหญ่เพื่อเข้าไปรับงาน Turnkey กับพันธมิตร อาทิ ขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ศรีราชา และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งการร่วมกับพันธมิตรทำให้บริษัทไม่ต้องซื้อที่ดินมารองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตมากนัก ทำให้ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

 

โดยโครงการที่พัฒนาในปี 2562 นี้จะเดินหน้าภายใต้แนวคิดใหม่ Living Revolution เพื่อพลิกโฉมการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสร้างสรรค์รูปแบบการอยู่อาศัยแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นเรื่องดีไซน์ของบ้านแบบใหม่ที่แตกต่างจากบ้านทั่วๆ ไป ที่มีการนำนวัตกรรมเข้ามาผสมผสานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน และมีแนวความคิดในการออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ (Natural Modern) โดยออกแบบบ้านให้มีรูปทรง L Shape และ C Shape ที่สร้างให้เกิด Inner Court กลางบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้มีพื้นที่สวนภายในบ้าน และสร้างความเป็นส่วนตัวของพื้นที่ในบ้านและนอกบ้าน นอกจากนี้ การออกแบบบ้านยังคำนึงถึงทิศทางของแดดและลม โดยการออกแบบช่องเปิดรับแสงและลมที่เหมาะสม พร้อมนำรูปแบบการอยู่อาศัยแนวใหม่นี้ไปพัฒนา โครงการเนอวานา เมืองใหม่ (Nirvana Township) บนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เพื่อพัฒนาชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ที่มีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ มาสนับสนุนให้เป็นคอมมิวนิตี้รูปแบบใหม่ที่มีพร้อมทุกอย่าง เพื่อตอบสนองการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่

 

ส่วนงบซื้อที่ดินของบริษัทในปีนี้ตั้งไว้ที่ 500 ล้านบาท เพื่อนำมารองรับการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการ Nirvana DEFINE 3 ในช่วงปลายปีนี้ หากโครงการ Nirvana DEFINE 2 สามารถปิดการขายได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก และหากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ยังมีความสามารถในการออกหุ้นกู้ได้อีก 800 ล้านบาท จากวงเงินที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นออกหุ้นกู้ไว้ 2,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2561 ได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 1,200 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ไนช่วงเดือนเมษายน ที่จะถึงนี้จะเปิดให้บริการอาคารจอดรถ Park&Ride รองรับจำนวนรถได้ 720 คัน แบ่งเป็น 2 อาคาร อาคารละ 360 คัน มูลค่าลงทุน 40-50 ล้านบาท โดยที่บริษัทตั้งเป้าอัตราการใช้ที่จอดรถเฉลี่ย 80% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม โดยที่โครงการอาคารจอดรถจะมาเสริมในส่วนของรายไดิประจำที่จะมาช่วยให้ธุรกิจมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และเป็นโครงการที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า 15 % ซึ่งมากกว่าโครงการห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ในด้านสัดส่วนรายได้ของปี 2562 จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากปีก่อน โดยที่สัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมจะเพิ่มเป็น 58 % จากปีก่อน 23 % และสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบจะลดลงมาที่ 31 % จากปีก่อน 61 % สัดส่วนรายได้จากโครงการรับสร้างบ้านจะอยู่ที่ 9 % ลดลงจากปีก่อน 12 % และรายได้อื่นๆลดลงเหลือ 2 % จากปีก่อน 4 %

 

อย่างไรก็ตามบริษัทฯตั้งเป้ายอดขายในปี 2562 ไว้ที่ 5,400 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 100% จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 2,600 ล้านบาท ขณะที่รายได้ตั้งเป้าเติบโต 40% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่  2,950 ล้านบาท โดยปัจจัยหนุนการเติบโตของรายได้ในปีนี้มาจากการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม “บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซต์ กรุงเทพฯ” (Banyan Tree Residences Riverside Bangkok) มูลค่า 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนไปแล้วในไตรมาส 4/2562 ไปแล้ว 1,000 ล้านบาท และจะทยอยโอนในปี 2562 อีก 2,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าวยังเหลือขายอีก 50 ยูนิต มูลค่า  2,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะทยอยขายไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันยังมีรายได้จากโครงการแนวราบ รายได้จากงานรับสร้างบ้านและบริหารการขายที่อยู่อาศัยจากที่ดินของเจ้าของที่ดินหรือพันธมิตร และรายได้อื่นๆ