SMART เผยทิศทางธุรกิจปี62 แนวโน้มดี เลือกตั้งชัดเจน-EEC-งานโครงสร้างพื้นฐานหนุนดีมานด์พุ่ง เอกชนทยอยลงทุน นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า คาดครึ่งปีแรกพลิกมีกำไร ตั้งเป้ารายได้แตะ 400 ล้านบาท โต 10% เปิดแผนปีนี้เดิมเกมตลาดเชิงรุกหลากหลายช่องทาง ทั้งขยายฐานลูกค้าไทย-CLMV ต่อเนื่อง โชว์ผลประกอบการปี61 กวาดรายได้รวม 366 ล้านบาท โต18.75 % ขาดทุนสุทธิลดลง 69.08 %


นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจปี 2562 คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สืบเนื่องมาจากความชัดเจนของการเลือกตั้งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนอีกครั้งในขณะเดียวกันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)  จะช่วยผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า โครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่มากขึ้น  ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถพลิกมีกำไรในช่วงครึ่งปีแรก2562 โดยตั้งเป้ารายได้ 400 ล้านบาท เติบโต 10 %

 

สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทมีแผนเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น และมีการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ “อิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง” มากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline ) เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยคาดว่าจะมีกระแสตอบรับที่ดีและมีคำสั่งซื้อจากโครงการในภาคตะวันออก กลุ่มลูกค้าสถาปนิก และผู้รับเหมารายย่อยมากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้งานภาครัฐอยู่ที่ 28 % ภาคเอกชน อยู่ที่ 70%

 

ส่วนการขยายตลาดกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม(CLMV) บริษัทมีการส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชาและลาว เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ  โดยมีกระแสตอบรับที่ดีและมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว อีกทั้งบริษัทรักษาสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศในปี 2562 อยู่ที่ 2 % ทั้งนี้บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง

 

ด้านผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2561 มีทิศทางที่ดีขึ้นมีผลขาดทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 99.18ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.04 ล้านบาท หรือ 28.58 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 77.13 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 3.07 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 12.09 ล้านบาท หรือลดลง 75.13 %

 

โดยผลประกอบการงวดปี 2561 มีรายได้รวม 366 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.83 ล้านบาท หรือ 18.75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม  308.48 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 22.93 ล้านบาท หรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ74.176 ล้านบาท หรือลดลง 69.08 %

 

สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก เนื่องจากปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ โครงการก่อสร้างภาคเอกชน และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในทุกช่องทาง อาทิ  โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เพิ่มตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง จึงสามารถกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้น