เปิดศักราชใหม่ปี 2562 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างทยอยแถลงแผนธุรกิจและมีหลายรายได้เปิดวิชั่นยาว 3 -5 ปี  ผ่านโมเดลธุรกิจใหม่ๆ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยื่น ล่าสุด บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP  โดย “อนุพงศ์ อัศวโภคิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO ) เอพี (ไทยแลนด์) ได้ประกาศแผนสร้างการเติบโตธุรกิจ การเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค หรือลูกค้า รวมถึงการจัดวางระบบหลังบ้านรับมือกับการดิสรับชั่นของเทคโนโลยี

 

“อนุพงษ์” กล่าวว่า จากการปรับตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯเติบโตใน 2561 ที่ผ่านมาเติบโตเกินความคาดหมายเป็นประวัติการณ์ มีรายได้เติบโตกว่า 30 % ทุก Segment  ของสินค้ามีการเติบโตทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ขณะเดียวกันธุรกิจในเครือไม่ว่าจะเป็นบริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท (BC) พร็อพเพอร์ตี้ เอเจนท์ ก็ประสบความสำเร็จ ยอดโอนพร็อพเพอร์ตี้สูงถึง 12,000 ล้านบาท(ลบ.) ซึ่งมูลค่าการโอนใหญ่กว่าบริษัทพร็อพเพอร์ตี้บางราย ส่วน บริษัทสมาร์ท (SMART) ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการอสังหาฯแบบครบวงจร ก็ดูแลลูกค้ากว่า 200 โครงการ กว่า 55,000 ครอบครัว ซึ่งทั้ง BC และ SMART ยังขยายการบริการเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ดันรายได้รวมแตะ 60,000 ล้านบาทในปี 2565

“เราห่วงเรื่องอนาคต” …อนุพงษ์ กล่าวพร้อมกับบอกว่า เรา เอพี ไทยแลนด์จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่สร้างของขาย(ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์) กล่าวคือ การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายซึ่งเป็นธุรกิจหลัก (Core Business) ยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีแผนขยายการบริการให้ครอบคลุมครบวงจรภายใต้แนวคิด AP World, A New Vision of Quality of Life สร้างพิมพ์เขียวแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า พร้อมกันนี้บริษัทฯ จึงได้เปิดตัว 3 ธุรกิจใหม่ (Disruptive Business) ได้แก่

1. VAARI ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต

2.CLAYMORE ดำเนินธุรกิจสร้างและผลักดันนวัตกรรมดีไซน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบ

และ 3 SEAC ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคน ในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ  ผ่านความร่วมมือจากสถาบันระดับโล

 

ทั้ง 3 ธุรกิจใหม่นอกธุรกิจอสังหาฯดังกล่าวมุ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและการเติบโตที่ยั่งยืน ตั้งเป้าภายในปี 2565 (ปี 2562-65) ทั้ง 3 ภาคธุรกิจใหม่จะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมของเอพีให้เติบโตแบบก้าวกระโดดแตะหลัก 60,000 ล้านบาท โดยเฉพาะ 3 ธุรกิจใหม่ เอพี ไทยแลนด์ ใส่เงินเข้าไปในช่วงปีนี้ถึงปี 2563 ประมาณ 1,000  ล้านบาท และคาดรายได้คิดเป็นสัดส่วน 10 % หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท

CEO เอพี ไทยแลนด์ ยังกล่าวว่า หนทางในการไปถึงวิสัยทัศน์ในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น มีความท้าทายหลัก 3 ประการที่จะต้องตระหนัก ต้องบริหารจัดการ และต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม นั่นคือ

1.โลกที่กำลังดิสรัปและทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำถาม คือ เราจะนำ Technology มาช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

2.เราจะรู้จักและพัฒนานวัตกรรมให้สอดคล้องและตอบรับกับความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบที่แตกต่างกันของคนในสังคมได้อย่างไร 3. เราจะพัฒนาความรู้ ความสามารถของ ‘คนในองค์กรและคนในสังคม’ ให้ก้าวทันกระแสดิสรัปชั่นได้อย่างไร ดังนั้นการขยายองค์กรสู่

3 ภาคธุรกิจใหม่ล่าสุดของเรา จึงช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มให้วิสัยทัศน์ในการมอบคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคมให้เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเอพีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

“อสังหา ฯ ยังเป็นแกนหลักในการสร้างรายได้และที่เราขยายสู่ธุรกิจไม่ใช่เพราะอสังหาฯถึงทางตัน 4-5 ปีข้างหน้าอสังหาริมทรัพย์ยังขยายตัวได้ และจะเป็นช่วงของคนในวัยทำงานมาซื้ออสังหาฯ พีคที่สุดด้วย” อนุพงษ์ กล่าวให้ความเห็น

 

พร้อมกันนี้เขายังกล่าวด้วยว่า ผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการตามการลงทุนของภาครัฐที่ได้มีการเร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ยิ่งสร้างมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุนมากยิ่งขึ้น และเติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีการขยายได้ที่ประมาณ 4% นอกจากนี้ในอีกหลายปีประเทศไทยจะมีผู้บริโภคที่เป็นผู้สูงวัย  เราจะต้องตอบโจทย์สังคมกลุ้มนี้ด้วย

เปิด 39 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 56,800 ล้านบาท

ในปี 2562 นี้บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการจำนวน 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 56,800 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวสูง 5 โครงการ โดยในจำนวนนี้เป็นโครงการร่วมทุน 3 โครงการมูลค่า 18,300 ล้านบาท  และ โครงการแนวราบ 34 โครงการ ส่วนงบในการซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 9,500 ล้านบาท และบริษัทตั้งเป้ามียอดขายรวม เติบโต 5-10% จากปี 2561 ที่มียอดขาย 41,800 ล้านบาท และรายได้โต 15%

 

ในจำนวน 39 โครงการที่จะเปิดบริษัทฯ มีที่ดินพร้อมแล้ว และเรายังเติมที่ดินยังไม่จบ !

 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวมอยู่ที่ 41,300 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโต 30% ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทขยับขึ้นเป็นอันดับ 2 ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้สูงสุดของไทย  ณ สิ้นปี 2561 มียอดขายรอรับรู้รายได้ 41,200 ล้านบาท

 

ข้อมูลจำเพาะ: บริษัทใหม่ทั้ง 3 มีลักษณะการดำเนินธุรกิจ และเป้าหมายสำคัญแตกต่างกัน ดังนี้

  • บริษัท วาริ จำกัด: ดำเนินธุรกิจสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต (LIFE MANAGEMENT ECOSYSTEM) ที่จะมาจุดประกายคุณภาพชีวิตในวันข้างหน้าให้มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์สังคมแห่งการอยู่อาศัยในอุดมคติให้เกิดขึ้น ลดทอนความซ้ำซ้อนที่เป็น Pain ของผู้อยู่อาศัยในวันนี้ และมอบประสบการณ์ใหม่ที่ยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมดีไซน์ ที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของคนในสังคม
  • บริษัท เคลย์มอร์ จำกัด: ดำเนินธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม ผ่านการสร้างทีมนวัตกรรมที่มีจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการขึ้นภายในองค์กร มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการเป็น Innovation Lab สร้างนวัตกรรมโดยใช้กระบวนการ Stanford Design Thinking ต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดิมไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยมีเป้าหมายให้นวัตกรรมที่คิดค้น จับต้องได้ และใช้งานได้จริง
  • SEAC (เอสอีเอซี): ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ดำเนินธุรกิจในการดิสรัปวิธีการเรียนรู้ของคนในองค์กรและคนในสังคมด้วยกระบวนการใหม่ๆ มุ่งพัฒนาความพร้อม ความสามารถของคนให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในวันนี้และอนาคต โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันระดับโลก อาทิ Stanford University ที่มีมุมมองในเรื่องการเรียนรู้ตรงกัน เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถ