สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 สูงในพื้นที่กทม.-ปริมณฑลนั้น ประสบปัญหามาหลายปีแล้ว แต่ในปี 2562 นี้กลายเป็นประเด็นรณรงค์กันมาก เพราะปริมาณฝุ่นฯ มีปริมาณเพิ่มค่อนข้างมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา และค่อนข้างอยู่นานหลายเดือน และ ณ วันนี้อยู่ในระดับเริ่มมี “ผลกระทบ” ต่อสุขภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยพบว่าฝุ่น PM 2.5 ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ นี้ มีระดับสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) ในหลายพื้นที่  ซึ่งขณะนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างช่วยกันรณรงค์ลดต้นเหตุในการเกิดฝุ่น เช่น ลดการใช้ยานพาหนะ ปิดคลุมพื้นที่ก่อสร้างและรถที่ขนส่งวัสดุก่อสร้างให้มิดชิด เป็นต้น สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ขณะนี้เริ่มมีหลายบริษัทที่เริ่มให้ความสำคัญ ร่วมรณรงค์และป้องกันในหลายรูปแบบ โดยบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป หรือ  LPN ถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่ออกตัวแรงในการรณรงค์ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

 

LPNผนึกนิติฯ 150 โครงการฉีดน้ำจากอาคารสูงลดฝุ่น PM 2.5

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป LPN เปิดเผยว่า ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน และเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตของประชาชนทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มาตลอดเดือนมกราคม 2562  ที่ผ่านมา LPN ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” ที่ไม่เพียงคำนึงถึงความน่าอยู่เฉพาะแต่ในชุมชนลุมพินี แต่ยังคงความห่วงใยในการสร้างความ “น่าอยู่”  ไปยังสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีโครงการอาคารชุดพักอาศัยแบรนด์ “ลุมพินี” ที่พัฒนาแล้วเสร็จกระจายทั่วกรุงเทพฯ 150 โครงการ จึงร่วมแสดงจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินการในทุกกระบวนการเพื่อลดค่าฝุ่นที่กำลังเป็นปัญหาในขณะนี้ ด้วยการใช้วิธีฉีดน้ำแบบสเปรย์จากชั้นดาดฟ้าของอาคารมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 มกราคม  ทุกวัน ในช่วงเวลาที่การเดินทางคับคั่งที่สุด คือ 8:00 น. 12:00 น. 18:00 น. และในขณะนี้ได้เพิ่มมาตรการเข้ม โดยให้ติดตั้งระบบน้ำฉีดโดยรอบทุกอาคาร เพื่อฉีดน้ำให้เกิดละอองฝอย บรรเทาฝุ่นพิษแก่ลูกค้าในโครงการและเพื่อนบ้านข้างเคียง โดยให้ดำเนินการเร่งด่วนภายในวันนี้ โดย LPN จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งค่าติดตั้ง ค่าไฟ และค่าน้ำ ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก เจ้าของร่วม ผู้พักอาศัย และคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดเป็นอย่างดีในทุกโครงการ

 

ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง บริษัทฯ ในฐานะผู้ประกอบการที่ใช้เครื่องจักรในการก่อสร้าง จึงร่วมป้องกันและดูแลผลกระทบในส่วนต่างๆ เพิ่มเติมและต่อยอดจากแนวทาง GREEN Construction Process Standard ดังนี้

1.รดน้ำกันฝุ่นให้ถี่ขึ้น โดยเปลี่ยนเป็นรดน้ำทุกชั่วโมง

2.ติดตั้งเครื่องตรวจวัดฝุ่นละออง เพื่อควบคุมไม่ให้ค่าเกินมาตรฐาน

3.รดน้ำระบบสเปรย์กันฝุ่นออกไปบริเวณถนนหน้าโครงการและพื้นที่โดยรอบ และติดตั้งระบบท่อพ่นละอองน้ำบนรั้วโครงการก่อสร้าง พร้อมทั้งกวาดฝุ่นรอบอาคารมากขึ้น หลังน้ำที่ฉีดแห้งแล้ว

4.ให้คนงานใส่หน้ากากกันฝุ่น ที่มีค่ากันฝุ่น N95 หรือสวมหน้ากากอนามัยประเภททั่วไป 2 ชั้น

5.สำหรับห้องตัดกระเบื้อง ห้องตัดลามิเนต ที่มีพัดลมดูดฝุ่น ต้องติด filter ในช่องเป่าอากาศก่อน เพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย

 6.วางแผนเพื่อลดการขนส่งวัสดุการก่อสร้างที่จะมาถึงและออกจาก Site ก่อสร้างให้น้อยที่สุด

 

โดยในเขตที่ค่าฝุ่นละอองเลวร้ายมาก (โซนสีแดง) โครงการระหว่างก่อสร้าง จะติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำบนชั้นสูงรอบอาคาร เพื่อช่วยลดมลภาวะต่อบ้านข้างเคียง นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่การก่อสร้างเพิ่งโผล่พ้นดิน ก็สั่งการให้พรมน้ำตลอดวันทั่วทั้งโครงการ สำหรับบ้านข้างเคียงในโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง บริษัทได้ติดตามสอบถามสุขภาพเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุและเด็กเล็ก พร้อมแจกและรณรงค์ให้ใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ

โดย LPN ตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ควรมีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเสมอมา ตลอด 30 ปีของการดำเนินงาน บริษัทจึงได้ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นแผนงานและแนวทางปฏิบัติภายใต้ GREEN Construction Process Standard ที่ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการ (CSR in Process) และสำหรับปัญหาค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานนี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร บริษัทจึงกำหนดเป็นมาตรฐานที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติในทุกกระบวนการมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้าง แต่รวมถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมหลังลูกค้าเข้าอยู่อาศัยแล้ว “Green Community Management” และผลกระทบที่อาจมีต่อบ้านข้างเคียงและสังคมโดยรวม

 

“ปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศและสิ่งแวดล้อม เริ่มเป็นปัญหาใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ หากทุกคน ทุกองค์กร และทุกหน่วยงาน หันมาร่วมกันห่วงใย และใส่ใจกับปัญหาเหล่านี้ด้วยการร่วมมือกันรับผิดชอบและแก้ปัญหาไปด้วยกัน เชื่อมั่นว่าโลกของเราจะกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น” นายโอภาสกล่าวในที่สุด

 

PFผนึกพันธมิตร ชูนวัตกรรมเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)หรือ PF กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ต่อยอดการพัฒนาโครงการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานทั้งในบ้านและในระดับโครงการ โดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และหลังจากที่มีการร่วมทุนกับกลุ่มเซกิซุย  ในการนำบ้านนวัตกรรมจากญี่ปุ่นเข้ามาเสริมมากขึ้น โดยปรับให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่ของคนไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาใช้ เพื่อให้อยู่สบาย และปลอดภัยจากปัญหามลพิษ  อาทิ

 

 

Air Tightness System ที่บ้านทั้งหลังเป็นระบบปิด Seal ทุกช่องเปิดให้ปิดสนิทป้องกันฝุ่นสกปรกจากภายนอก ป้องกันเสียง ระบบหมุนเวียนอากาศ พร้อมไส้กรอง 3 ชั้น ที่ช่วยกรองอากาศให้สะอาด กรองฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน ลดปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะภูมิแพ้

Thermal Insulated System ระบบผนังป้องกันความร้อน ที่ช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นและประหยัดค่าใช้จ่าย

Durabiltity Structure ผนังกระเบื้องเซรามิก ป้องกันเชื้อรา ตะไคร่น้ำ ด้วยสีที่นำเข้าจากญี่ปุ่นชะระล้างตัวเองได้ Self-Cleaning

 

 

นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับกลุ่มปตท. ในการติดตั้ง Ultra EV ระบบ EV Walt Charge เป็นมาตรฐานใหม่ ภายใต้แนวคิด Smart Energy  ซึ่งจะติดตั้งในโครงการะดับไฮเอนด์    อีกทั้งยังติดตั้งเครื่องตรวจวัดดัชนีคุณภาพอากาศ(AQI) ภายในโครงการ  รวมไปถึงติดตั้งเครื่องกรองอากาศที่สามารถกำจัดอนุภาคขนาดเล็กถึง 1 ไมครอนได้ 99.5% เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน โดยมีแอปพลิเคชั่น ควบคุมเครื่องตรวจสอบสภาพอากาศภายในบ้านและคอนโดมิเนียม  เป็นต้น

 

 PSHร่วมรณรงค์ลดปัญหาฝุ่นละออง-ห่วงใยสุขภาพพนักงาน

นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH  กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศ และอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่อประชาชนและพนักงานนั้น  บริษัทฯให้ความใส่ใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเสมอมา จึงได้เร่งออกมาตรการเพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและฝุ่นจากการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยของพฤกษา โดยทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามกรอบทิศทาง เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) เพื่อปกป้องชีวิตทุกคนจากมลพิษทางอากาศ นอกจากโรงงานผลิตแผ่นพรีคาสท์ ซึ่งเป็น Green Factory แห่งแรกในประเทศไทย ที่มีโรงผสมคอนกรีต (Batching Plant) ระบบปิด จึงทำให้ไม่มีฝุ่นจากการผลิตคอนกรีตแล้วนั้น ทางบริษัทฯ ยังได้เพิ่มแนวทางการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ได้ลดจำนวนเที่ยวการขนส่ง มีการตรวจรถขนส่งแผ่นพรีคาสท์ทุกคัน และแก้ไขรถที่มีควันดำ เริ่มทยอยเปลี่ยนรถที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นรถที่ใช้ก๊าซแทน รณรงค์ให้พนักงานและรถบรรทุกทุกคัน ไม่ติดเครื่องรถทิ้งไว้เมื่อไม่จำเป็น รวมไปถึงการจัดให้มีการล้างถนนวันละสองครั้ง พร้อมเพิ่มการพ่นน้ำที่ถนนและกองกรวดทรายให้มากขึ้น

สำหรับบริเวณไซต์งานก่อสร้างทุกโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ให้ดำเนินการดูแลกวาดฝุ่น ฉีดน้ำล้างถนนทั้งบริเวณทางเข้าออก ด้านในโครงการ และจุดอื่นๆที่มีความจำเป็นอย่างสม่ำเสมอ   จัดทำบ่อล้างล้อสำหรับรถดิน รถบรรทุก เพื่อลดฝุ่นละอองและเศษดินในโครงการ กวดขันไม่ให้รถที่มีควันดำเข้าในโครงการ สำหรับงานที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง เช่น การตัดวัสดุต่างๆ ได้กำหนดให้มีพื้นที่ทำงานเฉพาะและเพิ่มมาตรการป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น อาทิ จัดทำผนังหรือข่ายกั้น ใช้ผ้าใบก่อสร้าง (Mesh Sheet) ชนิดป้องกันไฟลามคลุมโดยรอบอาคารสูง  ใช้ผ้าใบห่อปิดคลุมวัสดุที่ก่อให้เกิดฝุ่น เป็นต้น  รวมทั้งแนะนำผู้รับเหมาก่อสร้างและคู่ค้าวัสดุก่อสร้าง ดูแลตรวจสอบสภาพรถยนต์ รถบรรทุก เครื่องจักรที่ใช้ในโครงการให้เป็นไปตามมาตรฐานและไม่เดินเครื่องจักรขณะไม่ใช้งาน ให้ผู้รับเหมาจัดหาหน้ากากกันฝุ่น N95 หรือหน้ากากอนามัย 2 ชั้นให้แก่คนงาน นอกจากนี้ให้จัดทำระบบบันทึกข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับปัญหาฝุ่นเพื่อติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า และชุมชนเพื่อนำไปปรับปรุงวิธีการลดผลกระทบจากภาวะฝุ่น   โดยให้วัดปริมาณฝุ่น รายงานผล พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษร่วมกับทางกรุงเทพมหานครต่อไป

 

นอกจากนั้น พฤกษาฯยังใส่ใจและห่วงใยต่อสุขภาพของพนักงาน จึงได้ประกาศให้พนักงานที่ตั้งครรภ์ และพนักงานที่มีโรคประจำตัวทางเดินหายใจ หรือได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากปัญหาฝุ่นละอองให้ทำงานที่บ้านได้จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ หรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ในส่วนของพนักงานที่มีบุตรที่เรียนหนังสือ และโรงเรียนประกาศให้หยุดตามสถานการณ์ฝุ่นก็สามารถทำงานที่บ้านได้ตามประกาศของทางรัฐบาล และจัดหาหน้ากาก N95 แจกให้พนักงานทุกคนเพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพด้วย

 

 

MQDCเตรียมนำระบบไอออนทดลองใช้2โครงการหรู

ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิจัยและนวัตกรรมศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน(Research and Innovation for Sustainability Center – RISC)  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า บริษัทฯให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมานานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 ที่บริษัทฯทราบล่วงหน้ามาแล้ว 2 ปี และจากการวิจัยพบว่าการพ่นละอองน้ำจากตัวอาคารไม่ได้ช่วยลดฝุ่นละอองแต่อย่างใด เพราะมีแรงตึงของผิวน้ำ กลับยิ่งทำให้ฝุ่นกระจายมากขึ้น  และวัสดุที่กรองฝุ่นอากาศที่ใช้กันโดยทั่วไปนั้นไม่ได้ช่วยกรองฝุ่นละอองด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่ได้ช่วยมากที่สุดคือการใช้ประจุไอออนยิงเข้าไปบริเวณรอบอาคารที่พักอาศัย ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทฯจะนำระบบดังกล่าวไปทดลองใช้ใน 2 โครงการหรูก่อน คือ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด และ WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสั่งเครื่องผลิตระบบไอออนจากต่างประเทศ ซึ่ง 1 เครื่อง สามารถใช้งานได้ในรัศมี 550 ตารางเมตร ซึ่งการนำระบบดังกล่าวมาใช้จะประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการใช้พ่นละอองน้ำถึงหลายพันเท่าตัว

 

“แสนสิริ”งัดมาตรการเข้มโครงการแนวสูง-แนวราบระยะยาว

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI กล่าวว่า บริษัทฯได้ประกาศแผนมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยาวครอบคลุมวงจรการทำธุรกิจไปอีกขั้น โดยเคร่งตระหนักถึงบทบาทและพันธกิจที่คำนึงถึงผู้มีส่วนร่วมในวงจรธุรกิจแบบองค์รวม ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมบรรเทาปัญหาค่าฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐานในกรุงเทพฯและปริมณฑล ตลอดจนตระหนักถึงสภาวะแวดล้อมระดับโลกในปัจจุบัน ครอบคลุมถึงการดูแลคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยที่ดีของลูกบ้านแสนสิริ ชุมชนโดยรอบและสิ่งแวดล้อมในทุกโครงการทั้งแนวสูงและแนวราบในกรุงเทพฯและปริมณฑลตามแนวคิดที่ยึดหลัก “Complete Your Living Experience” พร้อมประกาศแผนมาตรการเข้มระยะยาวอย่างยั่งยืน นำร่องเตรียมศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีระบบ “Dust free” ในบ้านเดี่ยว เดินหน้าผนึกเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจชั้นนำผสานองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เข้ามาปรับใช้ในทุกระดับตั้งแต่ต้นกระบวนการพัฒนาโครงการ ระหว่างการก่อสร้างโครงการ    และการอยู่อาศัย สำหรับแผนมาตรการของแสนสิริ แบ่งออกเป็น 3ระยะ ได้แก่

 

1.ระยะระหว่างการก่อสร้าง เริ่มต้นดำเนินการทันทีเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา โดยยังยึดแนวทางหลักที่แสนสิริปฏิบัติมาตลอดระยะเวลา 35 ปี แต่จะเพิ่มความถี่ คุมเข้มและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น โดยหมั่นตรวจสอบและเช็กคุณภาพเครื่องวัดฝุ่นที่ติดตั้งอยู่แล้วในไซต์ก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ( EIA) เสมอ เพื่อควบคุมและลดอัตราการกระจายฝุ่นภายในไซต์ก่อสร้างหรือบนระบบ protection อาคารให้มากที่สุดให้อยู่ในระดับมาตรฐาน ครอบคลุมกว่า 20 โครงการแนวสูง ด้านการก่อสร้างบ้านบริษัทฯได้ใช้ pre-cast เป็นวัสดุหลักกว่า95% จึงมั่นใจว่ามีผลกระทบต่อการเกิดฝุ่นละอองน้อยมากซึ่งเป็นแนวทางที่แสนสิริฯได้ยึดมาตลอดที่คำนึงประสิทธิภาพในการทำงานควบคู่กันกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

 

สำหรับโครงการแนวราบ เพิ่มความถี่และคุมเข้มตลอดทั้ง 3 กระบวนการ คือ 1.ฉีดพ่นน้ำบนถนนทั้งทางเดินและทางรถในโครงการเพื่อดักจับฝุ่นให้รวมตัวก่อนกวาดถนน 2.ล้างถนนในส่วนที่ใช้สำหรับการขนส่งวัสดุก่อสร้าง 3.ล้างล้อรถก่อนออกจากโครงการทุกครั้ง

 

โครงการแนวสูง ติดตั้งหัวฉีดละอองน้ำระบบพ่นหมอกในทุกโครงการ โดยเพิ่มความถี่สูงในการพ่นละอองน้ำทุกชั่วโมงในทุกวัน ชั่วโมงละ 45 นาที และพัก15 นาที นอกจากนี้ ยัง เพิ่มการจัด Big Cleaning Day ทำความสะอาดไซต์ก่อสร้างทุกสัปดาห์ โดยได้เริ่มต้นแล้วเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

2.ระยะการอยู่อาศัย ร่วมมือกับ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในการติดตั้งหัวฉีดละอองน้ำระบบพ่นหมอกบนอาคารสูงที่อยู่ภายใต้การดูแล ครอบคลุมกว่า 57 โครงการรวม 89 อาคาร วางแผนติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่  8 กุมภาพันธ์นี้ รวมถึงลดระยะเวลาทดสอบระบบการทำงานภายในโครงการที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล (ระบบ Generator, Diesel Fire Pump) จากปกติสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 15-30 นาที เป็น 2 สัปดาห์ต่อครั้ง             โดยยังคงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในโครงการ

 

“แสนสิริ สานต่อความมุ่งมั่นในการยึดถือแนวทางการสร้างสภาวะแวดล้อมการอยู่อาศัยทั้งในบ้านและนอกบ้านที่ดี โดยที่ผ่านมาได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านระบบอากาศภายในและภายนอกที่          อยู่อาศัยมายกระดับการอยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน เริ่มต้นที่โครงการเดอะไลน์ พหลโยธิน ปาร์ค และโครงการเวลล์เนส เรสซิเดนซ์ แห่งแรกในประเทซไทย ด้วยนวัตกรรมที่สามารถเติมอากาศบริสุทธิ์ และกรองฝุ่นละอองPM 2.5 ได้ไม่น้อยกว่า 90% และฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า PM 1 ได้ไม่น้อยกว่า 75% ทั้งนี้ ยังมอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกบ้านแสนสิริ แฟมิลี่ ในการซื้อเครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงเตรียมจัดทำคลิปวิดีโอเพื่อให้ความรู้สอนการทำเครื่องกรองอากาศด้วยตนเองอย่างง่าย ซึ่งผ่านการทดสอบโดยเครื่องวัดคุณภาพอากาศแล้วว่าสามารถช่วยลดฝุ่น PM2.5 ได้จริง อัพเดตข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอและทันสถานการณ์ ให้ลูกบ้านเข้าใจและประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร เช่น Home Service App, Living Plus App และโปสเตอร์ในโครงการ”นายอุทัย กล่าว

 

 

3.ระยะพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืนในที่อยู่อาศัย ศึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆเพื่อลดปริมาณฝุ่นและสร้างสภาวะแวดล้อมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยในเบื้องต้น โครงการแนวราบเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีระบบ “Dust free” รวมถึงวางแผนติดตั้งเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านเพื่อป้องกันผลกระทบจากละอองฝุ่นภายนอกที่อยู่อาศัย โดยคำนึงถึงการตอบโจทย์ด้านฟังก์ชั่นและดีไซน์ที่แสนสิริให้ความสำคัญอย่างควบคู่กัน เริ่มต้นนำร่องที่ 2โครงการ ได้แก่ โครงการเศรษฐสิริ ทวีวัฒนา และ โครงการจรัญ-ปิ่นเกล้า2 นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ซื้อโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวเฮาส์ ในช่วงนี้เป็นต้นไปจะได้รับเครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์ชั้นนำ

 

ถือว่าเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีจิตสำนึกที่ดี คำนึงความความปลอดภัย เอาใจใส่ทั้งลูกค้า พนักงาน และประชาชนโดยทั่วไป หากผู้ประกอบการทุกรายร่วมมือกันก็จะช่วยลดมลภาวะที่เป็นพิษได้อีกมาก