ยูนิเวนเจอร์ฯ เชื่อไทยกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน ส่งผลบวกกำลังซื้อคืนตลาด เปิดแผนปี 62 ผุด 31 โครงการในเครือ รวมมูลค่า 38,200 ล้านบาท พร้อมอัดงบซื้อที่ดิน 15,000 ล้านบาท ปลื้ม โรงแรม MODENA หลังเปิดให้บริการอัตราเข้าพักสูง 60-70%  ด้านธุรกิจสังกะสีปรับแผนหันขยายตลาดรูปแบบซัพพลายด์เชนมากขึ้น  ทั้งผนึก 2 สถาบันดังพัฒนานวัตกรรมใหม่เกรดพรีเมียม ตั้งเป้ารายได้หลักอยู่ที่ 25,800   ล้านบาท เติบโตกว่า 20%

 

 

นายวรวรรต ศรีสอ้าน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่าในปี 2562 นี้ธุรกิจอสังหาฯ จะประสบกับปัญหาปัจจัยลบค่อนข้างมาก ทั้งการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโลก การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV)  ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น ซึ่งในเรื่อง LTV นั้นบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ในขณะที่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของบริษัทฯ มีสัดส่วนน้อยมาก เพราะแบรนด์ของบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักของลูกค้าต่างชาติมากนัก ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่จะยังเป็นกลุ่มคนไทยเป็นหลัก  ในขณะเดียวกันมองว่ายังมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ จะส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค ที่จะตัดสินใจลงทุนและการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งมองว่ารัฐบาลชุดใหม่จะยังคงเดินหน้านโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง และทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ประชาชนในทุกภาคส่วน

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในเครือในปี2562 จะเปิดตัวใหม่รวมทั้งสิ้น  31 โครงการ รวมมูลค่า 38,200 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • โครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 28,600 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ หรือGOLD
  • โครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 9,600 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY

โดยคอนโดฯทั้ง 6 โครงการ ประกอบด้วย

1.โครงการ SARASIN  เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ขนาด 70-245 ตารางเมตร ราคาประมาณ 180,000-190,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 29 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท  

2.โครงการ KARA อารีย์-พระราม6 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ขนาด 60 ตารางเมตร ราคา 170,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 28 ยูนิต มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท

 3.โครงการ ANIL สาทร ซอย 12 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯลักชัวรี่ ขนาด 45-100 ตารางเมตรขึ้นไป  จำนวน 220 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 200,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ แต่ผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 4.CIELA จรัญฯ13-สาทร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯจำนวน 366 ยูนิต ขนาด 24-30 กว่าตารางเมตร ราคาอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต้นๆ/ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท

 5.CIELA เจริญนคร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ขนาด 24-48 ตารางเมตร จำนวนกว่า 100 ยูนิต

และ6. โครงการ DENIM จตุจักร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 9 ไร่ บริเวณถนนวิภาวดีฯ ซอย3 เป็นคอนโดฯ 3 อาคาร จำนวน 1,800 ยูนิต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

ทั้งนี้บริษัทฯได้วางงบซื้อที่ดินในงวดปี 2561/2562 ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • งบซื้งที่ดินสำหรับการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท 
  • งบซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน  3,000 ล้านบาท
  • โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากกระแสเงินสด เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ที่ขออนุมัติวงเงินจากผู้ถือหุ้นไว้รวม 5,000 ล้านบาท ซึ่ง UV จะออกหุ้นกู้จำนวน 2,000 ล้านบาท และ GOLD จะออกหุ้นกู้จำนวน 3,000 ล้านบาท โดยอายุหุ้นกู้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 3-5 ปี โดยคาดว่าจะออกหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ของงวดปี 2561/2562  เพื่อนำมารองรับการซื้อที่ดิน

ส่วนความคืบหน้าโรงแรม “MODENA by FRASER BURIRAM” พัฒนาโดยบริษัท แอล อาร์ เค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่  ได้เปิดให้บริการในส่วนของเฟส1 สูง 5 ชั้น  จำนวน 152 ห้อง  มูลค่าการลงทุน 600 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในราคาเฉลี่ย 3,200 บาท/คืน โดยที่ปัจจุบันอัตราการเข้าพักเฉลี่ย อยู่ที่ 60-70% สูงกว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมตลาดในบุรีรัมย์ที่เฉลี่ย 50% และสูงกว่าตลาด เพราะการที่โรงแรมมีทำเลอยู่ในสนาม Chang International Circuit ที่มีการจัดแข่งขันรายการต่างๆมากขึ้น และจะมีอีกหลายรายการที่รอจัดการแข่งขันอยู่ ทำให้จะมีการเข้ามาพักของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนุนการเพิ่มขึ้นของ อัตราการเข้าพักและรายได้ของธุรกิจโรงแรมให้เพิ่มขึ้น

 

นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงแรมที่ร่วมลงทุนกับ GOLD ได้แก่ โรงแรม W Hotel สาทาร, โรงแรม MODENA by FRASER FYI และ Marriott Mayfair Bangkok ส่วนเฟส 2 จะพัฒนาอีก 150 ห้อง  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ประจำปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,994 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 16,812 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า       และโรงแรม 1,688 ล้านบาท ธุรกิจอื่น (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) 2,373 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 121 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 1,006 ล้านบาท

 

ในปีงบประมาณ 2561 รายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งในแนวราบและแนวสูงซึ่งอยู่ในธุรกิจการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวม 16,812 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • รายได้จากโครงการแนวราบ 14,053 ล้านบาท โดยมาจากโครงการของกลุ่มแผ่นดินทอง จำนวน 38 โครงการ
  • รายได้จากโครงการแนวสูง 2,759 ล้านบาท จาก 8 โครงการ ของ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY

โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7,000 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปี 2562 จำนวน 9,700 ล้านบาท (จากโครงการแนวราบ 7,000 และโครงการแนวสูง 2,700) หรือคิดเป็น 45% ของเป้ารายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อขายปี 2562 ที่ 21,400 ล้านบาท

 

สำหรับปีงบประมาณ 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้หลักอยู่ที่ 25,800   ล้านบาท บาท เติบโตกว่า 20% จากปีก่อนที่ 20,900 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 83% ทั้งนี้มาจากโครงการแนวราบประมาณ 70% และมาจากโครงการแนวสูงประมาณ 13% โดยที่จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้ 9,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45% ของรายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยที่การรับรู้รายได้ที่จะโอนเข้ามาแบ่งเป็นจากแนวราบ 7,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2,700 บาท โดยที่ปัจจุบันบริษัทมี Backlog รวมทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและโรงแรมประมาณ 7% ธุรกิจอื่นๆ (รวมธุรกิจสังกะสีออกไซด์) ประมาณ 10% ล่าสุด จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 ได้มีมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ UV   และ GOLD อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มเติม ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท (UV 2,000  ล้านบาท และ GOLD 3,000 ล้านบาท)

 

ด้านธุรกิจสังกะสีของบริษัทนั้นกลยุทธ์จะหันไปเน้นการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าที่เป็นรูปแบบซัพพลายเชน(Supply Chain) มากขึ้น เพื่อทำให้บริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่หลากลายและมีการใช้วัตถุดิบที่บริษัทผลิตเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่วมพัฒนานวัตกรรมของสังกะสีใหม่ร่วมกับ 2 มหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศ ในรูปแบบที่เป็น Zinc Oxyde เกรดพรีเมียม

 

ในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งตลอดทั้งภาพรวม     เพื่อประสิทธิภาพและความพร้อมในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน โดยเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามกลยุทธ์หลัก 3 ปี ที่เราให้ความสำคัญ (Core Strategy 2018 – 2020) ทั้ง 5 ส่วน ให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการ “Optimization” ความหลากหลายที่เรามี เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น

 

ล่าสุด ธุรกิจสังกะสีออกไซด์ มีการเติบโตถึง 30 % จากปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีที่สุด และขณะนี้มีกำลังการผลิต (capacity) เต็มจำนวน พร้อมกับวางแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น “Diversification” ไปที่โครงการรูปแบบใหม่ ๆ นอกเหนือจากบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม

 

บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการมองทั้ง “Supply Chain” เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรและการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งวิเคราะห์และมองหาโอกาสที่ใช่ตลอดทั้งระยะทาง บนพื้นฐานสำคัญของ Entry Point และExit Point ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับ “Synergy” ธุรกิจที่ครอบคลุมในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น งานที่บริษัท ฟอร์เวิร์ด ซิสเต็ม และ บริษัท อะเฮดออล จำกัด (AHEADALL COMPANY LIMITED)    ที่ขายงานระบบเข้าโครงการ รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “Opportunistic Investment” การขับเคลื่อนโอกาส (Opportunity) และพร้อมที่จะรองรับโอกาสใหม่ๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรม อาทิ การเข้าลงทุนใน บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารโครงการ บริหารการก่อสร้าง รวมถึงออกแบบสถาปัตยกรรมโครงสร้าง โดยมีภาพรวมผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในเชิงของการรับรู้รายได้ ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปี