“ฮาบิแทท กรุ๊ป” มั่นใจกำลังซื้อตลาดบนยังเติบโต  เปิดแผนธุรกิจปี62 รุกเปิด 5 โครงการใหม่ในกรุงเทพฯ-พัทยา รวมมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท สวนกระแสตลาดอสังหาฯ พร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจ เพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ เปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่ง  รุกเพิ่มช่องทางตลาดขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ หวังกระจายความเสี่ยง ตั้งเป้ายอดขายพุ่ง 3,000 ล้านบาท เติบโต 50% และเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาท  

 

 

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แม้ปัจจัยภายนอก ทั้งความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก ทั้งในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ราคาพลังงาน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมือง การปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้หลายบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการปรับลดเป้าหมาย และมีการระมัดระวังในการลงทุนซื้อที่ดินมากขึ้น แต่ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังคงมีความมั่นใจกำลังซื้อของลูกค้าของบริษัทฯ ในกลุ่มระดับบนว่ายังคงดีอยู่  ทั้งนี้มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และกลุ่มนักลงทุน ทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลศักยภาพในการพัฒนาค่อนข้างจำกัดแต่เป็นที่ต้องการสูง ตรงกับกลยุทธ์ของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพอยู่แล้ว เช่นในกรุงเทพฯ จะพัฒนาใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทำให้สามารถทำราคาขายที่จับต้องได้และเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมทั้งเมืองพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวได้ดีจากทิศทางการท่องเที่ยว และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)

 

ดังนั้นในปี 2562 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่มากขึ้น โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลศักยภาพตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ คือ กรุงเทพฯ โซนธุรกิจ (CBD) ตามแนวรถไฟฟ้า ได้แก่ ทองหล่อ, พร้อมพงษ์ และอโศก อีกทั้งทำเลในเมืองพัทยา

 

“ในปีนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ เห็นได้จากการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งในแง่จำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าปี 2561 ขณะเดียวกัน ในปีนี้ยังจะเน้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น และแผนการขยายพอร์ตรายได้ประจำให้กับบริษัท” นายชนินทร์ กล่าว

 

การเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ แบ่งออกเป็น กรุงเทพฯ จำนวน 3 โครงการ ภายใต้ “แบรนด์วาลเด้น” ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรส์บนทำเลซีบีดีทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 3,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Walden สุขุมวิท 31 ซึ่งจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2/2562 โครงการ Walden ทองหล่อ 8 และโครงการ Walden ทองหล่อ 13

 

และพัทยาอีก 2 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการในแบบ Lifestyle Investment โดยยังคงคอนเซ็ปต์ดึงแบรนด์โรงแรมชั้นนำของโลกเข้ามาบริหาร มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการแรกคือ RAMADA BY Wynham Mira North point มูลค่า 2,500 ล้านบาท อยู่ในโซนพัทยาเหนือ คาดว่าจะเปิดตัวพร้อมขายได้อย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกปี 2562 ส่วนอีกโครงการเป็นคอนโดมิเนียมโซนหาดนาจอมเทียน บนพื้นที่บีชฟร้อนท์ 8 ไร่ อยู่ระหว่างการออกแบบ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่และมูลค่าสูง  คาดว่าจะเปิดตัวได้กลางปี 2562 โดยสำหรับตลาดพัทยาจะมีการทำโครงการที่ใหญ่ขึ้นและมีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับดีมานต์ที่มีอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ผ่านมาฮาบิแททฯ ทำการปิดการขายโครงการในพัทยาได้ทั้งหมด

 

โดยบริษัทจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน แม้ว่าปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์จะเผชิญกับปัจจัยกดดันจากมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย  (Loan to Value :LTV) จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการชะลอตัวของตลาดกลุ่มลูกค้าชาวจีน ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 62 อาจมีการหดตัว แต่บริษัทยังเชื่อว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้ผลตอบแทนทั้งส่วนที่เป็นค่าเช่าและส่วนต่างมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น (Capital gain) หากลงทุนในทำเลที่ถูกที่และจังหวะที่ดี ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร และกองทุนรวมที่มีความผันผวน และสามารถมีผลตอบแทนติดลบได้

 

“จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ฮาบิแทท กรุ๊ป สามารถเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโต ด้วยการขยายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และมองทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้เติบโตเป็นบวกได้ โดยแรงหนุนจากการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนด้านต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่ EEC  อย่างไรก็ดี สินค้าของบริษัทต้องสามารถแข่งขันได้ด้วย คือต้องมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด” นายชนินทร์ กล่าว

 

 

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ด้านการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจนั้น ฮาบิแทท กรุ๊ป มุ่งกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าเป้าหมายให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆเพื่อให้สินค้ามีความน่าสนใจมากกว่าคู่แข่งขัน  โดยมองหาโอกาสในตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าคนไทย จีนและฮ่องกง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทฯ มีความใกล้ชิดอยู่แล้ว  จะรุกขยายไปเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น กลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และในเอเชียอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย เวียดนาม กัมพูชาและเมียนมา  โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายมาจากกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ 600 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวม และคาดว่ายอดขายจากกลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มเป็น 40% ของยอดขายรวม

 

นอกจากนี้ ในปี 2562 บริษัทยังมีเป้าหมายขยายพอร์ตรายได้ประจำ (recurring income) ของบริษัทให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 10%  และตั้งเป้าภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มเป็น 30 % เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านรายได้และสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยปัจจุบันมีโรงแรมเปิดบริการแล้ว 2 แห่ง ที่พัทยา คือ The Ville Jomtien (เดอะ วิลล์ จอมเทียน) และ X2 Vibe Pattaya Sephere (ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์) โดยมี ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ (Habitat Hospitality) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเป็นผู้บริหารจัดการในด้านนี้ ซึ่งในปีนี้ จะเปิดตัวโรงแรมในพัทยาเพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวน 2 แห่ง คือ X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์) จะเปิดให้บริการในไตรมาส 2 และ Best Western Premier Bayphere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา) ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ของปีนี้

 

 

โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 3,000 ล้านบาท เติบโต 50% จากยอดขายใน 2561 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท  ซึ่งจะมาจากการโอนโครงการ X2 Pattaya Oceanphere ยอดขาย 70% ที่เริ่มโอนในไตรมาส 1/2562 และโครงการ Best Western Premeir Bayphere Pattaya ยอดขาย 100% เริ่มโอนในไตรมาส 2/2562 โดยทั้ง 2 โครงการมีมูลค่ารวม 1,400-1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็น 2 โครงการหลักที่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีนี้ ในขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่  3,450 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปถึงปี 2563

 

“สิ่งสำคัญการเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง ด้วยการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ทุกอย่างต้องตัดสินใจบนฐานข้อมูลและทำในสิ่งที่เรามีความเชี่ยวชาญ และการเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่มากขึ้นในปีนี้เป็นการตอกย้ำการเติบโตที่เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของฮาบิแทท กรุ๊ป” นายชนินทร์ กล่าวในที่สุด