บิวเดอสมาร์ท” วางเป้ารายได้ปี62 พุ่งเกิน 1,000 ล้านบาท มั่นใจธุรกิจวัสดุก่อสร้างโตต่อเนื่อง ทั้งลุยอสังหาริมทรัพย์ เดินหน้าส่ง “The Teak” ยึดทำเล CBD รุกผุด 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 1,400-1,500 ล้านบาท จ่อขยายเซกเมนต์แนวราบ ทำเลบางนา เจาะเรียลดีมานด์ รองรับตลาดEECโต

 

 

นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM เปิดเผยว่า ถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ว่าการขายและการโอนในช่วงต้นปีจะมีความคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะจะมีการเร่งโอนก่อนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในการปรับปรุงเกณฑ์ปล่อยกู้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value:LTV)จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 นี้ และเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ซึ่งมีโครงการ The Teak Sukhumvit 39 ที่พร้อมจะรับรู้รายได้ในต้นปี 2562

 

บริษัทฯคาดว่ารายได้ในปี 2562 จะเติบโตเกิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่ารายได้จากวัสดุก่อสร้างยังจะสามารถเติบโตได้อีก เช่น กลุ่มงานออฟฟิศ คอนโดมิเนียม โรงแรม และ โรงพยาบาล ประกอบกับจะมีการออกสินค้าใหม่ 2 ตัว ได้แก่ ระบบผนังสำหรับงานคอนโดมิเนียม และ ประตูบานเลื่อนแบบพับเก็บได้ โดยบริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ แบ่งเป็นจากธุรกิจหลักธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคุณภาพสูง 70 % และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 30% ขณะที่รายได้รวมปี 2561 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 640 ล้านบาทเติบโต 7% จากปี 2560 อยู่ที่ 599.84 ล้านบาท ซึ่งยังไม่มีการรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์

 

อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรสุทธิต้องรอสรุปตัวเลขอีกที แต่น่าจะเพิ่มเป็นขึ้นเป็นอัตราส่วนที่มากกว่าการเติบโตของรายได้ เนื่องจากการขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัท ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นที่ดี ประกอบกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งในช่วงไตรมาส3/61 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 36.88 ล้านบาท

 

ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาคอนโดมิเนียม Low-rise ภายใต้แบรนด์ “The Teak” ซึ่งในปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ ( Backlog ) กว่า 600 ล้านบาท ทำให้บริษัทคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2562 และบริษัทวางแผนที่จะเปิดขายโครงการใหม่ ( Pre-sale ) โดยเฉลี่ยไตรมาสละ 1 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการจะมีมูลค่าประมาณ 350-400 ล้านบาท โดยจะเน้นทำเลย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD: Central Business District) เป็นหลัก ซึ่งจะมีระยะห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 1 กิโลเมตร

 

โดยในปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่จำนวน 5 โครงการ และอยู่ระหว่างก่อสร้างจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Teak Sukhumvit 39 และ โครงการ The Teak Sathon-Lumpini โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี2562 เป็นต้นไป ส่วนอีก 3 โครงการ บริษัทจะเน้นใน 3 ทำเลหลัก ได้แก่ รัชดา 19 , อารีย์ และ นางลิ้นจี่ ซึ่งโครงการในทำเลดังกล่าวจะเริ่มทยอยเปิดขายตั้งแต่ไตรมาส1/25621เป็นต้นไป โดยทางบริษัทได้มีการวางงบลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อซื้อที่ดินในทำเล CBD ใกล้รถไฟฟ้าสายหลัก เพื่อให้มีบริษัทมีการพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

ด้านนายวรุตม์ ภาณุพัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือ บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในการพัฒนาโครงการอสังหาฯในปี2562 จะเปิดตัวทั้งสิ้น 4 โครงการ รวมมูลค่า 1,400-1,500 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.The Teak รัชดา ซึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนการเปิดตัวมาจากปี2561 ที่ผ่านมา เนื่องจากสำนักงานขายก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ โดยโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นที่ 270 ตารางวา เป็นคอนโดฯ สูง 7 ชั้น ขนาด30-45 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.9 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 75 ยูนิต มูลค่าโครงการ 370 ล้านบาท โดนจะเปิดตัวในไตรมาส1/2562 นี้

 

2.The Teakอารีย์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 230ตารางวา เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น ขนาด 28-45 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 4.2 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 70 ยูนิต มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส2/2562

 

3.The Teak สาทร-นางลิ้นจี่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 240 ตารางวา เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น ขนาด 30-50 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 73 ยูนิต มูลค่าโครงการ 350ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส3/2562

 

ส่วนโครงการที่4 อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลว่าจะพัฒนาคอนโดฯย่านสาทร หรือโครงการแนวราบ ย่านบางนา กม.8 ซึ่งต้องดูสภาวะตลาดก่อน โดยแนวโน้มที่จะพัฒนาโครงการแนวราบนั้นมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะที่ดินอยู่ใกล้พื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งที่ดินที่พัฒนาจะต้องมีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ

 

“หากในปลายปีนี้มีการพัฒนาแนวราบ ก็จะถือว่าเป็นโครงการแรกที่บริษัทฯหันมาจับตลาดแนวราบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและมีการเปลี่ยนมือที่น้อยมาก และเมื่อมาตรการLTV มีผลบังคับใช้ ก็จะช่วยสกัดกลุ่มที่ซื้อเพื่อการเก็งกำไรออกไป ส่วนลูกค้าที่ซื้อเพื่อยู่จริงก็จะมีทางเลือกมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว ซึ่งบริษัทโชคดีที่บริษัทเน้นลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่จริง และพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า”นายวรุตม์ กล่าวในที่สุด