พฤกษาฯ เผยทิศทางตลาดอสังหาฯ ปี 62 ผจญมรสุมปัจจัยลบทั้ง LTV- สงครามการค้าฯ ส่งผลดีมานด์จีนหาย ทั้งลูกค้าระดับกลางล่างประสบปัญหาหนี้ครัวเรือน แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับมือ ล่าสุดปรับเป้าลดลูกค้าจีนเหลือ 10% พร้อมรุกคอนโดฯ ไฮไรส์มากขึ้น  หวังยืดระยะผ่อนดาวน์นาน ทั้งเจรจา Non-bank เพิ่มทางเลือกลูกค้าซื้อบ้านง่ายขึ้น คาดปีหน้ายอดเปิดตัวโครงการใหม่ลดน้อยลง มั่นใจยอดรายได้โต 3-5%

 

 

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท-แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยถึง ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ว่า จะมีอัตราการเติบโตเพียงครึ่งเดียวของปี 2561  เพราะจะได้รับผละกระทบจากปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะมาตรการกำหนดเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value : LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 ซึ่งในระหว่างนี้ยังถือเป็นอานิสงส์ที่ทำให้เกิดการเร่งซื้อ เร่งโอนก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้  ซึ่งแม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะต้องการสกัดกลุ่มนักเก็งกำไรแล้ว ยังส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนหายไปจากตลาดด้วย อีกทั้งยังมีผลกระทบจากตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนที่ถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของตลาดอสังหาฯ ไทย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศจีน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่จะทำให้ตลาดคนจีนหายไปในปีหน้า รวมถึงปัญหากลุ่มลูกค้าตลาดกลาง-ล่าง ที่ประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนและการขอสินเชื่อยากหรือถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือ

 

“ปัจจุบันพฤกษามีลูกค้าชาวต่างชาติ 40% เพิ่มจาก 10% ในช่วงก่อนหน้านี้ ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าชาวจีน 15% แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณการทิ้งดาวน์ ลูกค้าชาวจีนยังรับโอน โดยเฉพาะโครงการแชปเตอร์วัน ห้วยขวาง ที่ลูกค้าชาวจีนโอนมากถึง 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการพลัม รามคำแหง และเดอะ ทรี โอ เป็นต้น ปัจจุบันลูกค้าชาวจีนยังคงซื้ออสังหาฯ ไทย แต่อาจไม่ร้อนแรงเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ” นายปิยะ กล่าว

 

นายปิยะ กล่าวต่อไปว่า ทางพฤกษาฯ ได้เตรียมปรับแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะปรับลดเป้าหมายลูกค้าชาวจีนลงเหลือ 10% โครงการที่จะพัฒนาเพื่อรองรับลูกค้าชาวจีนก็จะปรับใหม่ด้วยเช่นกัน  ส่วนปัญหา LTV ได้ปรับแผนการพัฒนาจากโครงการคอนโดฯ  Low Rise  เป็น High rise แทนเพื่อยืดระยะเวลาผ่อนดาวน์ให้นานขึ้นเป็น 18-24 เดือน ขณะที่บ้านแนวราบก็จะเพิ่มระยะเวลาผ่อนดาวน์นานขึ้นเป็น 4- 6 เดือน จากเดิมขายบ้านสร้างเสร็จ  นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์ธุรกิจ ที่เป็นผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ในการหาแนวทางในการช่วยให้ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านได้ หรือเตรียมความพร้อมก่อนจะขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน การทำเช่าซื้อเป็นต้น โดยขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป

 

ส่วนแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 คาดว่าจะน้อยกว่าปี 2561 แต่จะเน้นโครงการขนาดใหญ่พัฒนาระยะยาว เน้นตึกสูง ซึ่งทุกโครงการที่เปิดขายจะต้องมีความพร้อมหรือเป็นที่ต้องการของตลาด โดยจะมีสัดส่วนบ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮาส์ 40% และคอนโดฯ 40% แม้ว่าจำนวนโครงการที่จะเปิดขายน้อยลง แต่ยอดขายยังคงเติบโต เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่

 

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ คาดว่ายอดขายจะมีอัตรการเติบโตประมาณ 10% จากปี 2560 ที่มียอดขาย 47,536 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากแคมเปญ “Big Sale Ever” ที่นำสต๊อกบ้านพร้อมขายมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท มาจัดแคมเปญลดราคาเร่งการขาย ซึ่งปัจจุบันแคมเปญดังกล่าวสามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามในส่วนของยอดรายได้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-5% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 43,922 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาตลาดบ้านแนวราบระดับกลาง-ล่างที่ลูกค้าขอสินเชื่อยาก โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทลูกค้าประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งในส่วนลูกค้าบ้านแนวราบของพฤกษาฯ ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินประมาณ 6% หากรวมปัญหาที่ลูกค้าไม่พร้อมจะอยู่ที่ประมาณ 10% ส่วนคอนโดมิเนียมจะมีปัญหาเป็นบางโครงการยอดปฏิเสธสินเชื่อขึ้นไปสูงถึง 30% แต่โดยรวมถือว่าไม่สูงมากนัก