ไนท์แฟรงค์ฯ เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 62 ดีมานด์อาจชะลอตัว แนะผู้ประกอบการมองหาทำเล-ขยายเซกเมนต์ใหม่กระจายความเสี่ยง  จับตารัฐบาลจีนบีบคั้นสกัดเงินไหลออก  หวั่นอสังหาฯ ไทยสะเทือนแน่  ยอดโอนวูบ ส่วน LTV มั่นใจไม่กระทบนักลงทุนไทย มีกำลังซื้อมากพอ เปิดปี 62 บริหารงานขายเพิ่มอีก 4 โครงการ จำนวน 1,880 ยูนิต รวมมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท

 

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2562 ดีมานด์จะชะลอตัว เพราะตลาดขยายตัวอย่างต่อเนื่องมานานถึง 10 ปีแล้ว ดีมานด์-ซัพพลาย จึงโตไม่ทันกัน แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแม้ตลาดดีมานด์ไทยจะชะลอตัว แต่มีตลาดต่างชาติเข้ามาช่วยระบายซัพพลายออกไป ทำให้ตลาดยังสามารถเติบโตไปได้ดี ส่วนตลาดต่างจังหวัดเริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ 1-2 ปี ทั้งอัตราการขายและเช่า เริ่มลดลง ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วผู้ประกอบการอสังหาฯ ควรจะต้องมองหาทำเลใหม่ๆ และขยายไปเซกเมนต์อื่น เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม ที่ยังมีอัตราการเติบโต และลงทุนได้อีก หรืออาจจะขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม เพราะเซกเมนต์โรงแรมและอาคารสำนักงาน ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้

 

“ผู้ประกอบการยังต้องจับตามตลาดจีน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ประกาศควบคุมการพกพาเงินหยวนเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นเม็ดเงินจำนวนมากที่ไหลบ่าเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินหยวนของจีน ซึ่งตรงนี้อาจจะมีผลกระทบต่อยอดขายอสังหาฯ เพราะที่ผ่านมาก็เริ่มมีปัญหาลูกค้าชาวจีนซื้อคอนโดฯ แต่ไม่สามารถโอนได้ แม้ว่าผู้ประกอบการบางรายจะช่วยยืดระยะเวลาการโอนออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้นาน ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่ และยิ่งหากอนาคตรัฐบาลจีนมีความเข้มงวดในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น อสังหาฯไทยก็จะยิ่งประสบปัญหาในเรื่องการโอนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู” นายพนม กล่าว

 

สำหรับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ (Loan to Value : LTV) นั้นคิดว่าไม่มีผลกระทบกับนักลงทุนที่ซื้อบ้านหลังที่ 2, 3 และ 4 เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว ซึ่งการเพิ่มเงินดาวน์มาอีกเล็กน้อยคงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่โดยภาพรวมของตลาดแล้วจะเป็นเพียงอารมณ์และความรู้สึกเท่านั้น

 

ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ….คิดว่าคงไม่มีผลกระทบอะไรที่ใหญ่โตมากนัก ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจริงๆ คือผู้ที่ดำเนินธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนราคาขายคอนโดฯ คงไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับระบบขนส่งของภาครัฐนั้นถือเป็นเทรนด์ระดับโลก เป็นการช่วยคนระดับชั้นกลาง-ล่าง ให้สามารถเดินทางได้สะดวก และช่วยเสริมโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

 

ด้านโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC ) เชื่อว่าภายในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ จะเห็นความชัดเจนของเม็ดเงินในการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น  ถือว่าเป็นโครงการที่ดีมาก เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศได้มากขึ้น ส่วน พ.ร.บ. EEC แม้หลายๆ โครงการอาจจะมีผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนดแรงงาน แต่ก็มีผลดีคือมีการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโครงการขนาดใหญ่อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาเป็นจำนวนมาก เชื่อว่ารัฐบาลเองก็พยายามที่จะผลักดันเศรษฐกิจและการลงทุนให้ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2562 จะมีโครงการที่บริหารงานขายเพิ่มอีกประมาณ 4 โครงการ จำนวน 1,880 ยูนิต รวมมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท จากปี 2561 ที่มีโครงการบริหารงานขายเพิ่ม 6-7 โครงการ จำนวน 1,798 ยูนิต รวมมูลค่า 19,590 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีโครงการที่บริหารงานขายในกรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 46 โครงการ รวม 28,839 ยูนิต และที่ภูเก็ต จำนวน 29 โครงการ 873 ยูนิต