“แคปปิตอล วัน” วางเป้าปี 64 มีพอร์ตบริหารทั้งโครงการในไทยและต่างประเทศมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท วางเป้าขึ้นท็อปทรี พร้อมนำห้องชุดหรูโครงการในลอนดอนมา 2 โครงการมาเปิดให้ลูกค้าช็อป วันเดียว 19 พ.ย. นี้ ระบุ ราคาคอนโดฯ สุขุมวิทใกล้เคียงกับราคาลอนดอนไปทุกที พร้อมขยับลงทุนปี 62 พัฒนาโครงการทาวน์โฮมโซนตะวันออก


นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท
จำกัด บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำในเมืองไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารตลาดคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิท เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า  แคปปิตอล วัน ได้วางเป้าหมายที่จะติดอันดับ 1 ใน 3  ผู้นำตลาดทั้งในเรื่องการเพิ่มขนาดของสินทรัพย์ โครงการที่บริหารมีคุณภาพ ลูกค้ารู้จักในตราสินค้า (แบรนด์) และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ โดยภายในสิ้นปี 2564 จะมีโครงการที่เข้าไปบริหารทั้งโครงการในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มรวมเป็น 40,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีสินทรัพย์ในการบริหาร 12 โครงการ มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ระดับราคาตั้งแต่ 2.3-20 กว่าล้านบาท พร้อมทั้งเป้าการเติบโตจากนี้ปีละ 40 % ซึ่งเป็นระดับอัตราการเติบโตที่พอใจและอยู่ในวิสัยของการดำเนินธุรกิจของแคปปิตอล วัน

 

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2562 นั้น จะมีการนำโครงการอสังหาฯ จากต่างชาติ เข้ามาขายให้แก่กลุ่มนักลงทุนชาวไทยเพิ่มมากขึ้นประมาณ 7-10 โครงการ โดยบริษัทจะดูแนวโน้มการเติบโตของราคาเป็นหลัก และเป็นโครงการที่จะแล้วเสร็จเพื่อป้องกันความเสี่ยง ปัจจุบันนอกจากจะเป็นพันธมิตรกับ IP GLOBAL จากประเทศฮ่องกง ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านไฟแนนซ์และอสังหาริมทรัพย์ (ทำธุรกิจในปี 2548 มีการลงทุนกว่า 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก) แล้ว บริษัทยังได้ร่วมกับพันธมิตรในประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐฯ ในการนำอสังหาฯเข้ามาขายคนไทย โดยระดับราคาอยู่ที่ 15 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต

 

“เราพบลูกค้าคนไทย ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเกรด A ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ โดยเปิดพอร์ตลงทุนที่ประเทศสิงคโปร์เพื่อไปลงทุนในอังกฤษ ซึ่งมาคำนวณดูแล้ว ตอนนี้ราคาอสังหาฯ ในไทยใกล้เคียงกับต่างประเทศ เช่น โซนสุขุมวิท ราคาขาย 3 แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้น ขณะที่ราคาอสังหาฯ ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ไม่ถึง 4 แสนบาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คนไทยจับต้องได้ ” นายวิทย์ กล่าว

 

ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ บริษัทเตรียมนำ 2 โครงการมาเปิดขายในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการที่ผ่านการลงทุนจาก IP GLOBAL และต้องการขยายตลาดมาสู่ลูกค้าในไทย  ได้แก่ โครงการ เวลลิงตัน ควอเตอร์ ( WELLINGTON QUARTER) เป็นคอนโดฯ ตั้งอยู่ในลอนดอน ย่าน Woolwich มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท มีห้องพัก 81 ยูนิต ขนาดเริ่มต้น 54 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท ซึ่งโครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2562 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50 % โดยมีระยะสัญญาเช่า 250 ปี ทั้งนี้ จะเปิดขายส่วนที่เหลือในประเทศไทยในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ที่โรงแรมแมริออท สุขุมวิท โดยจะเปิดลงทะเบียนออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. นี้ และมั่นใจจะขายได้หมด เนื่องจาก แคปปิตอล วัน มีฐานลูกค้า นอกจากนี้ ยังได้เตรียมสินเชื่อให้กับลูกค้าวงเงิน 70 % อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 % กว่า ลูกค้าวางเงินดาวน์ 30 % ของราคา

 

“ย่าน Woolwich เป็นย่านที่พักอาศัยใหม่ ที่มีการปรับตัวขึ้นของราคาค่อนข้างสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากรถไฟฟ้าสาย Cross rail สายใหม่ที่ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย ทำให้ย่านนี้มีศักยภายในการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง โดยเรามองว่า 10 ปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาฯ เพิ่มขึ้น 60 % และในระยะ 8 ปี แคปปิตอลเกน เฉลี่ยอยู่ที่ 8 % ต่อปี และผลตอบแทนค่าเช่าอยู่ที่ 4 % ขณะที่ราคาใกล้เคียงกับอสังหาฯ ในประเทศไทย เนื่องจากด้วยปัจจัยของราคาอสังหาฯ ที่สูง ทำให้ผลตอบแทนจากการค่าเช่าลดลง ซึ่งถ้าใครทำยิวด์ได้ 4.5 % ก็เก่งแล้ว แต่ก็อาจจะมีบางเมืองที่ให้ยิวด์สูง เช่น ในอำเภอศรีราชา 7-8 % ” นายวิทย์ กล่าว

 

ขณะที่อีกโครงการคือ รอยัล วิเทอเลีย เรสซิเดนซ์ (Royal victoria) เป็นโครงการคอนโดพักอาศัยลักซ์ชัวรี่ สูง 30 ชั้น จำนวน 161 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้าน ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาท สำหรับ 2 ห้องนอน พื้นที่ 76 ตร.ม. โดยจะนำมาในงาน 10 ยูนิตที่เหลือ สัญญาเช่า 175 ปี จุดเด่นโครงการ ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำ เทมส์ ใกล้เขตเศรษฐกิจใหม่ Royal dock ที่ได้รับการพัฒนา จากนักลงทุนชาวฮ่องกง มูลค่ากว่า 45,000 ล้านบาท จนได้รับชื่อว่าเป็น Asia business port ซึ่งจะเป็นแหล่งศูนย์รวมธุรกิจและการเงินในอนาคตของกรุงลอนดอน  และเพียง 2 นาทีจากสถานี Royal Victoria Station และ 2 นาทีจากสถานี Canning town สำหรับ รถไฟฟ้าใต้ดิน ใกล้รถไฟฟ้าสาย Cross rail เพียง 3 นาที ทำให้ โครงการ มีความสะดวกสบายในการเดินทาง และรับชมวิวจากแม่น้ำเทมส์ได้อย่างลงตัว

 

นายวิทย์ กล่าวว่า นอกจากเป็นบริษัทที่ปรึกษาและรับบริหารงานขายโครงการแล้ว บริษัทยังก้าวสู่นักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการประเภททาวน์โฮมมาแล้ว 3-4 โครงการ และในปี 62 บริษัทมีแผนร่วมทุนกับญี่ปุ่นและจีน เพื่อพัฒนาโครงการ ซึ่งเบื้องต้นมี 1 โครงการอย่างน้อย โดยพิจารณาในทำเลโซนตะวันออก เช่น ศรีนครินทร์ บางนา และพัฒนาการ พัฒนาโครงการคอนโดฯ ขนาด 200 ยูนิต พื้นที่ 1-2 ไร่ มูลค่าโครงการราว 600 ล้านบาท ราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาท