แสนสิริฯเผยแนวโน้มตลาดคอนโดฯปี62 จะเห็นเรียลดีมานด์มากขึ้น  ขณะที่กลุ่มเก็งกำไรลดลงผลจากมาตรการธปท. คาดหลังเลือกตั้ง-การลงทุนภาครัฐช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจขับเคลื่อน  ล่าสุดเตรียมเปิดตัว“เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค” มูลค่า 4,900 ล้านบาท คาดช่วงพรีเซล-ต้นปี62 กวาดยอดขาย40-50% มั่นใจยอดขายรวมตามเป้า 50,000 ล้านบาท

 

 

นายภูมิศักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือSIRI เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดคอนโดฯในปี2562 ว่า แนวโน้มของการซื้อ-ขายจะเริ่มเห็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์ ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรจะเริ่มลดลง เพราะมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีผลต่อความรู้สึกของกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร อีกทั้งมองว่าสภาวะเศรษฐกิจอาจจะไม่ค่อยดีนัก ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เก็งกำไรระมัดระวังในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์หรือกลุ่มลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยอยู่จริง จะยังคงมีความต้องการซื้ออยู่ และไม่ได้มีผลกระทบต่อมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธปท. ทำให้จะมีกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมากขึ้นกว่ากลุ่มลูกค้าเก็งกำไร  ซึ่งหวังว่าหลังการเลือกตั้ง และการลงทุนของภาครัฐจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ ดีมานด์มีกำลังทรัพย์ในการซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น

 

ล่าสุดบริษัทได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนระหว่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ BTS และแสนสิริฯ โครงการที่ 13 คือ “เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค” อาคารบี ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อาคารที่กลุ่มBTS ซื้ออาคารเก่าของบริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) หรือN-PARK เดิม ที่ปัจจุบันคือบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด(มหาชน)หรือ U พื้นที่รวม 21 ไร่มาพัฒนา ซึ่งเมื่อประมาณปี 2557 ทางBTS ได้นำมาพัฒนาภายใต้แบรนด์ “แอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน พาร์ค” (Abstracts Phahonyothin Park) ภายใต้การบริหารของบริษัท บีทีเอส แอสเซ็ทส์ จำกัด โดยเปิดขายได้เพียง 1 อาคาร จำนวน 1,012 ยูนิต ส่วนอีก 2 อาคารที่เหลือภายหลังจากที่กลุ่ม BTS ได้มาร่วมทุนกับแสนสิริฯก็ได้ขายให้บริษัทร่วมทุน เพื่อนำมาพัฒนาต่อ โดยได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จำนวน 21 ไร่ ซึ่งรวมสวนส่วนกลางและอาคารจอดรถ 1 อาคารด้วย โดยทั้ง 2 อาคารที่ซื้อมานั้นมีโครงสร้างแล้วเสร็จ 100% แต่เมื่อจะนำมาพัฒนาโครงการใหม่ก็ต้องรื้อโครงสร้างเก่าออกทั้งหมด และดำเนินขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ทั้ง 2 อาคาร เพื่อที่จะนำมาดีไซน์รูปแบบอาคารและห้องชุดให้ทันสมัย

 

 

ทั้งนี้บริษัทฯจะนำอาคารบีมาพัฒนาก่อน ซึ่งก็คือ “เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค”ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ เป็นอาคารสูง 32 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 31.75-82.25 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ย 139,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 880 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2561 นี้ ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งคนและต่างชาติตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยต่างชาติที่สนใจซื้อจะมีทั้งจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะลูกค้าจีนยังได้รับการตอบรับดี ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะยาว และไม่ได้รับผลกระทบเหมือนภาคการท่องเที่ยว ที่จะเป็นลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง  โดยโครงการดังกล่าวบริษัทตั้งเป้ายอดขายตั้งแต่ช่วงเปิดพรีเซลถึงต้นปี 2562 ที่ 40-50% และจะมีกำหนดการโอนในช่วงไตรมาส 3/2565  ส่วนอีก 1 อาคารที่เหลือจะมีการเปิดตัวหลังจากนี้ในนามบริษัทร่วมทุนในอนาคตเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

 

“ทำเลตั้งแต่ห้าแยกลาดพร้าว-พหลโยธิน นับว่ามีศักยภาพมาก พราะราคาที่ดินมีแนวโน้มสูงขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันราคาขายคอนโดมิเนียมในบริเวณทำเลดังกล่าว อยู่ที่ 150,000-170,000 บาท/ตารางเมตร โดยราคาขายคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น 5-7% ต่อปี ปัจจุบันตั้งแต่ห้าแยกลาดพร้าว-พหลโยธิน24 มีซัพพลายอยู่ประมาณ 2,000 ยูนิต จาก 3-4 โครงการ และมีอัตราการดูดซับในทำเลดังกล่าวสูงถึง 80% ซึ่งมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17.7% ต่อปี และหากปล่อยเช่าจะมีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5-6%” นายภูมิศักดิ์ กล่าว

 

ปัจจุบันบริษัทฯสามารถทำยอดขายรวมได้ที่ 43,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 50,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ บริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดในต่างจังหวัดอีก 2 โครงการ คือ โครงการคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ที่หัวหิน มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดเชียงใหม่อีกหนึ่งโครงการ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้