เนอวานา ไดอิฯ เปิดแผนขยายธุรกิจครอบคลุมทั่วประเทศ แตกไลน์การร่วมทุนธุรกิจแบบ“Turnkey Solution” กับแลนด์ลอร์ดในกทม.-หัวเมืองท่องเที่ยว ตั้งเป้า 5 ปี มีโครงการร่วมพัฒนาอย่างน้อย 17 โครงการๆละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ปี62 คาดมี 4 โครงการร่วมพัฒนา ส่วน 2 ทำเลนำร่อง ปิ่นเกล้า-อุดรธานี ผลตอบรับดี มั่นใจรายได้รวมปีนี้แตะ 2,500 ล้านบาท 

นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปในต่างจังหวัด นอกเหนือจากที่พัฒนาในกรุงเทพฯ เพื่อให้ครอบคลุมหัวเมืองหลักทั่วประเทศในอนาคต  โดยมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดมีความน่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก ซึ่งความยากอยู่ที่การหาซื้อที่ดินในทำเลที่ดีและมีศักยภาพ เพราะราคาแพง อีกทั้งเจ้าของที่ดินไม่อยากขายหรือมีความต้องการพัฒนาโครงการเอง แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทางบริษัทเนอวานา ไดอิฯได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้เสนอโมเดลการร่วมทุนธุรกิจแบบ Turnkey Solution เพื่อดึงดูดความสนใจจากเจ้าของที่ดินให้มาพัฒนาโครงการร่วมกัน และประสบความสำเร็จในการเจรจาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย

 

โดยตั้งเป้าภายในช่วงระยะเวลา 5 ปีจากนี้ จะมีโครงการที่ร่วมพัฒนาอย่างน้อย 17 โครงการ ซึ่งจะเปิดขายโครงการใหม่อย่างน้อยไตรมาสละ 1 โครงการ โดยในปี 2562 บริษัทฯมีแผนที่จะนำระบบ Turnkey Solution ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพกับเจ้าของที่ดินในทำเลศักยภาพ ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยว มาพัฒนารวมทั้งสิ้นประมาณ 4 โครงการ ได้แก่ 1.ที่ดินย่านพัฒนาการ พื้นที่ประมาณกว่า 10 ไร่ ซึ่งแลนด์ลอร์ดเป็นนักลงทุนที่ดิน แต่ไม่เคยพัฒนาโครงการ โดยจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “บียอนด์ พัฒนาการ” เป็นบ้านเดี่ยว ประมาณ 40 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่กว่า 30-70 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา คาดว่าจะจบดีลประมาณไตรมาส2/2562 

 

2.โครงการย่านศรีนครินทร์ ตัดถนนพระราม9 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “บียอนด์ อินโทรล” 3.โครงการย่านศรีราชา และ4.อยู่ในระหว่างการเจรจากับแลนด์ลอร์ด 2 แปลง คือที่ภูเก็ต และกรุงเทพฯ หากสามารถจบดีลกับรายใดได้ก่อน จึงจะนำที่ดินแปลงนั้นมาพัฒนา 

 

“โดยที่ดินทุกแปลงที่บริษัทเข้าไปร่วมพัฒนาจะต้องเป็นทำเลที่มีศักยภาพ และเมื่อนำมาพัฒนาจะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเรามีแผนที่จะขยายการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปในต่างจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมหัวเมืองหลักทั่วประเทศในอนาคต  โดยมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดมีความน่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก ซึ่งความยากอยู่ที่การหาซื้อที่ดินในทำเลที่ดีและมีศักยภาพ เพราะราคาแพง อีกทั้งเจ้าของที่ดินไม่อยากขายหรือมีความต้องการพัฒนาโครงการเอง แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ทางบริษัทเนอวานา ไดอิฯได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้เสนอโมเดลการร่วมทุนธุรกิจแบบ Turnkey Solution เพื่อดึงดูดความสนใจจากเจ้าของที่ดินให้มาพัฒนาโครงการร่วมกัน และประสบความสำเร็จในการเจรจาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย”นายศรศักดิ์ กล่าว

สำหรับ 2 โครงการนำร่องที่ร่วมพัฒนากับแลนด์ลอร์ดในปี 2561 คือ “เนอวานา ไอคอน ปิ่นเกล้า”ตั้งอยู่ย่านพุทธมณฑล สาย2 บนพื้นที่ 12 ไร่ ในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 100-160 ตารางวา ราคาขาย 17-24 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยเปิดพรีเซลไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 30-40 ล้านบาท 

 

และ”เนอวานา บียอนด์ อุดรธานี”ซึ่งแลนด์ลอร์ด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม ประจักษ์ตรา ดีไซน์ โฮเทล โดยที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณหนองประจักษ์  บนพื้นที่ 10 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว สูง 3 ชั้น ขนาด 57 ตารางวาขึ้นไป จำนวน 41 ยูนิต ราคา 25-50 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยได้เปิดขายรอบวีไอพีไปแล้วเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนเป็นอย่างมาก ขณะนี้มียอดขายแล้ว 9 ยูนิต มูลค่า 240 ล้านบาท และจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาส 1/2562   โดยทั้ง 2 โครงการ จะเริ่มรับรู้รายได้ในปี2562 เป็นต้นไป

 

“การเลือกแบรนด์สินค้าในการนำไปพัฒนา จะขึ้นอยู่กับทำเล และความต้องการในพื้นที่นั้นๆ โดยปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์สินค้า 4 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ Nirvana BEYOND ระดับราคาขาย 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต, แบรนด์ Nirvana ICON ระดับราคาขาย 13 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต, แบรนด์ Nirvana INTRO ระดับราคาขาย 7 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต และแบรนด์ Nirvana @Work ระดับราคาขาย 25 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต”นายศรศักดิ์ กล่าว

 

ทั้งนี้ภายใต้การร่วมทุนแบบ Turnkey Solution นั้น เนอวานา ไดอิ จะเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการให้หมดแบบครบวงจร ตั้งแต่ การออกแบบ การขาย การตลาด การก่อสร้าง การโอนกรรมสิทธิ์ และบริการหลังการขาย โดยโครงการจะใช้แบรนด์ของเนอวานา ซึ่งเจ้าของที่ดินจะไม่ต้องประสบกับปัญหาและความวุ่นวาย เป็นการพัฒนาที่ดินให้มีศักยภาพสูงสุดและเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินนั้น ๆ ซึ่งเจ้าของที่ดินจะสามารถรับรู้รายได้จากการที่ลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนการปลูกสร้าง (เป็นสัญญาบ้านสั่งสร้าง)

 

ในส่วนของเนอวานา ไดอิ จะสามารถเพิ่มโอกาสในการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพ เพราะไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเนอวานา ไดอิ จะมีรายได้จากการแบ่งผลกำไร และค่าบริหารและพัฒนาโครงการกับเจ้าของที่ดิน นอกจากนั้นเนอวานา ไดอิฯจะได้รับความเชื่อถือจากกลุ่มลูกค้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของที่ดิน ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

 

“เรามองเห็นโอกาสจากการทำธุรกิจภายใต้โมเดลรูปแบบนี้ และด้วยความพร้อมและศักยภาพของเนอวานา ไดอิ ผมคิดว่า เราจะสามารถเชิญชวนให้เจ้าของที่ดินมาทำงานร่วมกับเราในการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วไทยได้ โดยการพัฒนากับแลนด์ลอร์ดแต่ละโครงการ จะขายบ้านให้กับลูกค้าในรูปแบบ 2 สัญญา คือสัญญาซื้อที่ดินและสัญญารับสร้างบ้าน โดยบริษัทจะมีรายได้จากการรับสร้างบ้าน ส่วนแลนด์ลอร์ดจะมีรายได้จากการขายที่ดินที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น”นายศรศักดิ์ กล่าว

 

ทั้งนี้คาดว่าในปี 2563 บริษัทฯจะมีรายได้จากธุรกิจการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Turnkey Solution ที่ประมาณ 750 ล้านบาทต่อไตรมาส และในปี2561 คาดว่าจะมีรายได้รวมที่ 2,500 ล้านบาท