RICHY ประกาศทุ่มงบ 100 ล้านบาท สร้างมาตรฐานใหม่ รีแบรนด์ “The Rich” อัพเกรดสู่ระดับพรีเมี่ยมจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน  พร้อมเตรียมผุด 2 โปรเจคใหม่บนสุดยอดทำเลมูลค่าเกือบ 6,000 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปต์ “สีสันแห่งชีวิต” โครงการแรก “The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น” รูปแบบมิกซ์ยูสแห่งแรกบนถนนศรีนครินทร์ ชูจุดเด่น 0 เมตรจากบันไดสถานี พร้อม Mall ด้านหน้าโครงการ ส่งท้ายปี เปิดขายพรีเซล พ.ย. 2561 ต่อด้วยโครงการที่ 2  “The Rich เอกมัย” ช่วงไตรมาส1 ปี 2562  

 

 ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะดำเนินธุรกิจเชิงรุกในการสร้างแบรนด์ The Rich มากขึ้นทั้งในการเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่อง การทุ่มงบโฆษณากว่า 100 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักรวมถึงได้มีการรีแบรนด์ The Rich ใหม่สู่ระดับพรีเมี่ยมเน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทำเล ระดับราคาขายเฉลี่ย 150,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ขึ้นไป เนื่องจากเป็น Segment ที่มีกำลังซื้อ

 

การรีแบรนด์ครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการ “ปรับเปลี่ยน” ด้วยปัจจัยหลากหลาย ทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่งงบโฆณาประมาณ 100 ล้านบาทนั้นได้แบ่งงบมาประมาณ 50 ล้านบาทสำหรับโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ (ตุลาคม-ธันวาคม) ผ่านหนังโฆษณา TVCและสื่อทั้ง Online , Offline เพื่อโปรโมทแบรนด์ The Rich

เตรียมเปิด 2 โครงการใหม่แบรนด์ The Rich  รวมมูลค่าเกือบ 6,000 ล้ารบาท

โดยการเปิดตัวโครงการใหม่นั้นจะมีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2561 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1ปี 2562 เบื้องต้นบริษัทฯจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ จำนวน 1,608 ยูนิต รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,900 ล้านบาท ดังนี้

โครงการ The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น

โครงการแรก คือ The Rich พระราม 9 – ศรีนครินทร์ ทริปเปิ้ลสเตชั่น ถือเป็นเฟส 2 มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่พัฒนาเป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวน 558 ยูนิตแบ่งสัดส่วนเป็น Mixed Use 3  ชั้นแบบห้องเริ่มต้นที่ 1 Bedroom ขนาด 25.61 – 35.68 ตร.ม. และ 1 Bedroom Loft ขนาด 25.27 – 45.04 ตร.ม. โดยโครงการจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่ประมาณ ไตรมาส 2 ปี 2564  ชูจุดเด่นติดรถไฟฟ้า 3 สาย สีเหลือง , สีแดงอ่อน , แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยิ่งไปกว่านั้น ทำเลที่ตั้งโครงการยังใกล้เพียง 0 เมตรจากสายสีเหลือง  2 นาทีจากสถานีหัวหมาก แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เชื่อมสู่เมืองและเชื่อมการเดินทางทั่วโลกโดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีถึงสุวรรณภูมิ จะเปิดขายในรอบ VVIP DAY ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรม ดุสิต ปริ้นเซส

 

ส่วนโครงการที่ 2 จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส1ปี 2562 คือ โครงการ  The Rich เอกมัย  (เอกมัยซอย 8 ) ติดบิ๊กซี เอกมัย บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารพักอาศัย 1 อาคารสูง 46 ชั้น จำนวน 492  ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท  โดยมีจุดเด่นที่รวบรวมสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯต้องการไว้ในที่เดียว ทั้ง Facility ที่รวมเอาไว้ในชั้น Roof Top, การออกแบบห้องให้เหมาะสมกับการพักอาศัย โดยใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชัน สร้างพื้นที่ให้ดูกว้างขวางน่าอยู่ ได้รับความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างอุปกรณ์ Smart Home พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคอนโดกับการใช้ชีวิตโดยใช้คำว่า  “สงบสุขภายใต้แสงสีพร้อมใช้ชีวิตแบบเหนือระดับด้วยความเป็นส่วนตัว” เป็นตัวเชื่อมไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่มีชีวิตการทำงานและการใช้เวลาช่วงวันหยุดพักผ่อน ท่องเที่ยว ดื่ม ทานอาหาร พักอาศัย ในย่านเดียวกัน

 

สำหรับคอนโดฯแบรนด์ The Rich ที่ได้เปิดตัวและพัฒนาในช่วงที่ผ่านมารวม 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.The Rich สาทร ตากสิน มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2. The  Rich เพลิตจิต นานา มูลค่า 4,000 ล้านบาท และ 3.The Rich อเวนิว มูลค่า 400 ล้านบาท และเมื่อรวม 2 โครงการที่จะปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้และไตรมาส 1 ปี 2562 ทำให้บริษัทฯมีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 12,400 ล้านบาท

 

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซฯ กล่าวถึงผลประกอบการปี 2561 ในส่วนของรายได้น่าจะแตะที่ระดับ 3,000 ล้านบาท เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้รวม 1,327  ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิได่ดีต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิมากถึง 243  ล้านบาท ส่วนสินค้าพร้อมขายในปัจจุบันมีอยู่กว่า 9,300 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสินค้าพร้อมขายพร้อมโอน จำนวน 6 โครงการจำนวน 1,200 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4,100 ล้านบาท และเพื่อกระตุ้นการขายระบายสินค้าในสต็อกบริษัทฯมีแผนการจัดกิจกรรมการขายและการตลาดต่อเนื่องทั้งที่จัด ณ สำนักงานขายโครงการรวมถึงออกบูธตามห้างสรรพสินค้า