ไรมอน แลนด์ฯไม่หวั่นปัญหา “นพ ณรงค์เดช”ฟ้องร้องครอบครัว  คาดกระบวนการลงทุนซื้อทรัพย์สินและกิจการKPNLแล้วเสร็จภายในสิ้นปี61 ด้านมาตรการแบงก์ชาติไม่กระทบ ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง แต่อาจปรับลดราคาขาย เปิดแผน3-5 ปี ตั้งเป้าผุด6-7 โครงการย่านกลางเมือง รวมมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ไตรมาส4/61 เปิดตัว 2 โครงการร่วมทุนกลุ่มโตเกียว ทาเทโมโนะ รวมมูลค่ากว่า 9,200 ล้านบาท ด้านพันธมิตรญี่ปุ่นพร้อมปักหมุดลงทุนไทยต่อเนื่องปีละ2-3โครงการ มั่นใจการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจโต

 

นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า จากกรณีที่ “นายณพ ณรงค์เดช” ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่ง ขอให้ดำเนินคดีในข้อหาละเมิดและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการจัดการบริษัท กับบริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้ง จำกัด (KPNH) จำเลยที่ 1 พร้อมพวกรวม 5 คน ประกอบด้วย นายกฤษณ์ ณรงค์เดช จำเลยที่ 2, นายกรณ์ ณรงค์เดช จำเลยที่ 3, นายระวี ธาตุนิยม จำเลยที่ 4 และบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด (KPNL) จำเลยที่ 5 จะไม่กระทบต่อกระบวนการเข้าลงทุนของRML  และคาดว่ากระบวนการเข้าลงทุนทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในปี 2561

 

“บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนเข้าซื้อทรัพย์สินและกิจการของ KPNL ต่อไป และเชื่อว่าจะไม่ติดปัญหาจากกรณีดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯยังคงดำเนินงานภายในองค์กรตามปกติ และได้ดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ขณะที่ปัญหาดังกล่าวของทาง KPNL  ถือเป็นปัญหาภายในครอบครัว”นายเอเดรียน กล่าว

 

สำหรับสินทรัพย์ที่จะได้มาจากการเข้าลงทุนใน KPNL ประกอบด้วย 1.โครงการ S19 ตั้งอยู่สุขุมวิท ซอย 19  เนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ไร่เศษ  ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 20% คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา มี 2.โครงการ S28 มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 2 ไร่เศษ ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท ซอย 28 ส่วนอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,400 ล้านบาท เป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการส่งมอบ ได้แก่ 1.โครงการ Diplomat 39 และ 2.โครงการ Diplomat สาทร ซึ่งคาดจะส่งมอบโครงการได้ในช่วงไตรมาส 4/2561 ประมาณ 1,800 ล้านบาท

 

ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อนั้น  มั่นใจว่าไม่มีผลกระทบ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทยังเป็นคนไทยระดับไฮเอนด์   และจ่ายด้วยเงินสด แต่มาตรการดังกล่าวก็เป็นปัจจัยที่จะต้องติดตามต่อไป ขณะเดียวกันบริษัทอาจจะต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการลดราคาขายสินค้าลง โดยที่จะต้องไม่กระทบอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ที่บริษัทตั้งไว้ประมาณ 25-30%

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า จะมีการลงทุนพัฒนาในพื้นที่ใจกลางเมืองอีกประมาณ 6-7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ส่วนจะเป็นการพัฒนาเองและร่วมทุนกี่โครงการนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 4/2561 นี้บริษัทฯเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด(Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายในประเทศไทย จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,200 ล้านบาท โดยประกอบด้วย โครงการ “The Estelle Phrom Phong” (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 37 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 55-360 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 15.5 ล้านบาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นที่ 270,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 157 ยูนิต  มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส2/2562 แล้วเสร็จในไตรมาส1/2565

 

และโครงการ “TAIT 12” (เทตต์ ทเวลฟ์) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 40 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 40-141 ตารางเมตร ราคา  7.6 ล้านบาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นที่ 189,900 บาท/ตารางเมตร จำนวน 238 ยูนิตมูลค่าโครงการกว่า  4,200 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561นี้ การก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส2/2562 และจะแล้วเสร็จในไตรมาส2/2565 ซึ่งบริษัทตั้งเป้ายอดพรีเซลของทั้ง 2 โครงการไว้ที่ประมาณ 30-40%

 

 

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนเจรจาต่อรองราคาซื้อธุรกิจร้านอาหารในประเทศ 1 ราย โดยยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาสำหรับดีลนี้

 

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/2561 จะเติบโตสูงสุดของปี เนื่องจากจะมีการรับรู้ยอดขายรอโอน (Backlog) ของโครงการ Diplomat 39 และโครงการ Diplomat สาทร ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทมี Backlog รวมอยู่ที่ 6,900 ล้านบาท เป็น Backlog ของบริษัทจำนวน 5,600 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ประมาณ 300-500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็น Backlog จาก KPNL จำนวน 1,300 ล้านบาท  จะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด

 

 

ด้านนายคะทซุฮิโระ  เบทซิโนะ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด  กล่าวว่า  ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ขยายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียแล้ว 5 ประเทศซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรในท้องถิ่นทั้งสิ้น ได้แก่ จีน ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบของคอนโดฯ รวมแล้วประมาณ 20 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 100,000 ล้านเยน (เงินลงทุนจากทั้ง2กลุ่ม),เมียนมาร์ ซึ่งเข้าไปลงทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นมาแล้วประมาณ 20 ปี ในรูปแบบของโรงแรม,เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และอาคารสำนักงาน คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 40,000 ล้านเยน,สิงคโปร์ เป็นการร่วมทุนพัฒนาอาคารสำนักงาน กับรัฐบาลสิงคโปร์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านเยน,อินโดนีเซีย เป็นการร่วมทุนพัฒนาคอนโดฯระดับลักชัวรี่  จำนวน 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านเยน  และประเทศไทย เป็นการร่วมทุนกับบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน)RML พัฒนาคอนโดฯระดับลักชัวรี่ เบื้องต้นเป็นการลงทุน 2 โครงการดังกล่าวข้างต้น

 

และนับจากนี้ไปจะลงทุนพัฒนาคอนโดฯระดับลักชัวรี่ในประเทศไทยมากขึ้น ปีละประมาณ 2-3 โครงการ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับ RML เพียงรายเดียว ซึ่งมองว่าเป็นองค์กรที่พัฒนาโครงการมีคุณภาพสูงสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดระยะเวลา  และเชื่อว่าซัพพลายคอนโดฯระดับลักชัวรี่ในประเทศไทย ยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าไม่เกิดภาวะล้นตลาดอย่างแน่นอน และสภาวะเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ก็จะมีอัตราการเติบโตมากขึ้น จากปัจจัยทางด้านการเมืองที่ค่อนข้างนิ่ง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการขอใบอนุญาตต่างๆก็ดำเนินการได้ง่าย ขณะเดียวกันการสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor:EEC)ก็จะเป็นการผลักดันให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้นด้วย