สถาพร เอสเตทฯเผยตลาดคอนโดฯระดับไฮเอนด์ยังไม่ส่งสัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย  ทำเลศักยภาพยังมีดีมานด์ ด้านยอดReject ยังทรงตัว ด้านโครงการเดอะ เชดด์ สาทร1”พร้อมเปิดพรีเซล29-30ก.ย.61 นี้ ยอดผู้สนใจลงทะเบียนพุ่งกว่า2,000 ราย ส่วนอีก3โครงการจ่อเปิดตัวปี62 รวมมูลค่า 5,700 ล้านบาท คาดปี63เริ่มรับรู้รายได้ 1,300 บาท มั่นใจปีนี้ยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาทตามเป้า

 

นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เปิดเผยถึงภาวะตลาดคอนโดฯ ในปี 2561 ว่า ยังไม่ร้อนแรงมาก  โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในเชิงมูลค่ามีอัตราเติบโต 3% เมื่อเทียบปี 2560 ส่วนตลาดระดับบน ราคาตั้งแต่ 250,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป ก็ยังมีอัตราการเติบโตที่ดีเช่นกัน ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดโอเวอร์ซัพพลายแต่อย่างใด เพราะมีแค่เพียงหลักพันยูนิตเท่านั้น ส่วนในกรณีที่กูรูด้านอสังหาฯ กล่าวในปี 2562 เป็นต้นไปสินค้าจะขายได้ช้าและยากขึ้น เพราะราคาอสังหาฯ สูงเกินกว่ากำลังซื้อในทุกตลาด ยกเว้นตลาดไฮเอนด์ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าราคาแพงสำหรับเศรษฐีนั้น มองว่า ไม่ได้เป็นทุกตลาด ทำเลที่มีดีมานด์ก็ยังขายได้

 

สำหรับภาพรวมอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (Reject) ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา พบว่า ตลาดคอนโดฯ มีอัตราที่ทรงตัวหรือดีขึ้นเล็กน้อย โดยคอนโดฯ ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท มียอด Reject สูงกว่า 40%, ระดับราคา 3-5 ล้านบาท มียอด Reject ประมาณ 15% และระดับราคา 5-10 ล้านบาทขึ้นไป มียอด Reject ประมาณ 10% เนื่องจากสภาวะเศษฐกิจยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ  ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2559-2561) ถือว่าเป็นปีที่หนักสำหรับผู้บริโภค ที่สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และเชื่อว่าในปี 2562 ก็จะเข้มงวดกว่านี้แน่นอน  แต่คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจและการส่งออกจะดีขึ้น

 

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร 1” (The SHADE Sathon 1) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาด 28-60 ตารางเมตร ราคา 3.69-7 ล้านบาท  หรือเริ่มต้นที่ 130,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 278 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 29-30 กันยายน 2561 นี้ ขณะนี้มีผู้สนใจลงทะเบียนแล้วกว่า 2,000 ราย  ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนด คือธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ภายในระยะเวลา 3-4 เดือนแรก ได้อย่างน้อย 50-60%

 

“ปัจจุบันย่านยานนาวา มีซัพพลายคอนโดฯ โลว์ไรส์ไม่เกิน 700-800 ยูนิต ส่วนในซอยเย็นอากาศนั้นไม่มีซัพพลายเหลือเลย เพราะเป็นทำเลที่มีศักยภาพและที่ดินที่จะนำมาพัฒนานั้นหาได้ยาก ส่วนใหญ่เป็นตลาดรีเซล ระดับราคา 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตร หากเป็นยูนิตที่เปิดใหม่ราคาจะอยู่ที่ 150,000 บาท/ตารางเมตร” นายสุนทร กล่าว

ส่วนโครงการ “เดอะ เชดด์ ทวิกก์” เย็นอากาศ ( The Shade Twig) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเย็นอากาศ ซอย 2 พื้นที่ 440 ตารางวา มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ โลว์ไรส์ 1 อาคาร ภายใต้แบรนด์ ราคาประมาณ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตรจำนวน 100 กว่ายูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 600 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส 2/2562

 

สำหรับอีก 2 โครงการมีแผนจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2562 คือโครงการ “เดอะ คราวน์” พระราม 4  (The Crown) ย่านบ่อนไก่ บริเวณถนนพระราม 4  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูงเกินหรือต่ำกว่า 20 ชั้น โดยจะขายในราคา 200,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป จำนวนประมาณกว่า 200 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,600 ล้านบาท

 

และโครงการ “ดิ อิเธอร์นิตี้” รังสิตคลอง 5 (The Eternity) ซึ่งตั้งอยู่ที่รังสิต คลอง 5 บนที่ดินจำนวน 99 ไร่ รวมมูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท  โดยแบ่งพื้นที่ 74 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ราคา 5-10 ล้านบาท จำนวนกว่า 300 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท  และที่เหลืออีก 25 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากลุ่มค้าปลีก แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

นอกจากนี้บริษัทตั้งงบในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ปีละประมาณ 500-600 ล้านบาท ตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่มีมูลค่าต่อปีที่ประมาณ 1,500-1,800 ล้านบาท และตั้งเป้าเริ่มรับรู้รายได้ต่อปีที่ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี โดยในต้นปี 2563 จะเริ่มรับรู้รายได้ที่ประมาณ 1,300 ล้านบาท สำหรับในปี 2561 นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท จากโครงการ เดอะ เชดด์ สาทร 1” (The SHADE Sathon 1) อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าภายใน 5 ปี (2561-2565) จะสามารถสร้างยอดขายสะสมรวมได้อยู่ที่ระดับ 11,500 ล้านบาท