สิงห์ เอสเตทฯ คาดอีก 3 ปีพื้นที่อาคารสำนักงานเกิดภาวะซัพพลายล้นตลาด เชื่อความต้องการใช้ไม่สมดุล เหตุราคาเช่าแพงเกินรับได้ ทั้งยกเลิกดีลซื้ออาคารสำนักงาน-ศูนย์การค้า 2 แห่ง ระบุลงทุนไปอาจมีความเสี่ยง  ปรับแผนหันพัฒนาโครงการเองมากขึ้น ประกาศ 1 ต.ค.พร้อมเปิดให้บริการ Singha Complex” เผยผู้เช่าเต็ม100% เมินร่วมประมูลพัฒนาพื้นที่ในสถานีกลางบางซื่อ

 

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือS เปิดเผยถึง แนวโน้มของการพัฒนาพื้นที่อาคารสำนักงานในอีก 3 ปีข้างหน้าว่าจะเกิดภาวะซัพพลายล้นตลาด เพราะปัจจุบันมีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานที่มีพื้นที่จำนวนมาก และจะทยอยเปิดให้บริการในช่วง 2-3 ปี ข้างหน้า โดยที่มองว่าความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานในช่วง 3 ปีข้างหน้า จะน้อยกว่าจำนวนซัพพลายที่ออกมา ซึ่งมีจำนวนมาก และอัตราค่าเช่าอาคารพื้นที่สำนักงานส่วนใหญ่เป็นเกรด A ที่มีค่าเช่าสูง ทำให้ผู้เช่าอาจจะรับราคาไม่ได้และไม่มีความจำเป็นที่ต้องเช่าสำนักงานที่แพงมาก ส่งผลให้ตลาดอาคารสำนักงานอาจได้รับผลกระทบ แต่มองว่าสำหรับอาคารสำนักงานของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จะมีแผนรองรับไว้และสามารถบริหารจัดการได้

 

นอกจากนี้บริษัทยังได้ยกเลิกดีลการเจรจาเข้าซื้ออาคารสำนักงานและศูนย์การค้าในประเทศทั้ง 2 ดีล ไปแล้วก่อนหน้านี้ หลังจากที่บริษัทได้เคยให้ข้อมูลว่าอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้ออาคารสำนักงานและศูนย์การค้าในประเทศ และคาดว่าได้เห็นความชัดเจนภายในปีนี้ เพราะการศึกษาการลงทุนในดีลทั้งสองนั้นต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก ทำให้บริษัทเห็นว่าอาจจะมีความเสี่ยงไม่คุ้มค่าในการลงทุน ทำให้บริษัทตัดสินใจยกเลิกดีลดังกล่าวไป

     

อย่างไรก็ตามบริษัทจะหันกลับมาเน้นการพัฒนาโครงการด้วยตัวเองมากขึ้น ซึ่งยังมีอีกหลายโครงการที่บริษัทเตรียมที่จะพัฒนาและเตรียมเปิดทั้งโครงการที่เป็นรูปแบบ Stand Alone และโครงการ Mixed Use โดยที่ในช่วงปลายปีนี้บริษัทเตรียมเปิดโครงการทาวน์ชิปแห่งแรกของบริษัทย่านกรุงเทพกรีฑา (ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) บนพื้นที่ 240 ไร่ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบระดับกลาง-บน, โฮมออฟฟิศ, พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรมขนาดเล็ก ที่อยู่บนพื้นที่เดียวกัน

 

ขณะเดียวกันในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 บริษัทเตรียมเปิดให้บริการอาคารสำนักงาน Singha Complex ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าพื้นที่ออฟฟิศเต็มแล้ว 100% โดยที่จะมีรายได้จากค่าเช่าออฟฟิศเข้ามาเสริมในไตรมาส 4/2561 นี้ ประกอบกับในช่วงปลายปีนี้จะเริ่มเปิดให้บริการโรงแรมแห่งแรกในมัลดีฟส์ ทำให้ในปีนี้บริษัทมีรายได้ประจำเข้ามาเสริมมากขึ้นหนุนผลการดำเนินงานในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 และจะทำให้ภาพรวมของรายได้ในปี 2562 อาจจะสามารถแตะระดับ 20,000 ล้านบาท ได้เร็วกว่าเป้าหมายเดิมในปี 2563 เนื่องจากในปีหน้าบริษัทจะรับรู้รายได้จากโรงแรมใหม่ทั้ง 6 แห่ง ในเครือ Outrigger เข้ามาเต็มปี รวมถึงการรับรู้รายได้จากออฟฟิศ Singha Complex และโรงแรม Curio มัลดีฟส์ เข้ามาเต็มปีเช่นเดียวกัน และมีการรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 10,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปี 2562 เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหญ่ คือ โครงการ The ESSE Asoke และ โครงการ The ESSE at Singha Complex

 

“การพัฒนาโครงการ Mixed Use ในประเทศไทยนั้น ยังมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆที่ครอบครองที่ดินต้องการพัฒนาพื้นที่ของตนให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และโครงการ Mixed Use เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าโครงการประเภท Stand Alone แต่การพัฒนาโครงการ Mixed Use จะต้องคำนึงไปทำเลที่ตั้งที่ถือเป็นปัจจัยหลักของการพัฒนา ซึ่งจะต้องสามารถดึงดูดให้มีคนเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากได้ และมีการเดินทางที่สะดวก”นายนริศ กล่าว

 

ส่วนเรื่องการเข้าร่วมประมูลการพัฒนาพื้นที่ในสถานีกลางบางซื่อนั้น ยอมรับว่ายังไม่มีความสนใจและจะไม่เข้าไปร่วมปประมูล เนื่องจากผู้ที่สนใจเข้าไปประมูลมีแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้าไปแข่งขันประมูลกัน ซึ่งมีการแข่งขันที่สูงและอาจจะทำให้ราคาประมูลสูงมากจนเกินไป  แต่บริษัทจะมีการพัฒนาโครงการในพื้นที่บริเวณใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมของการพัฒนาโครงการดังกล่าวอยู่ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้