กลุ่มทุนอสังหาฯภาคตะวันออก “แพน พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ชี้หลังภาครัฐชัดเจนลงทุนพัฒนาโครงการ อีอีซี บูมตลาดอสังหาฯดันราคาที่ดินพุ่ง 30-40% ล่าสุดเตรียมดึงกลุ่มทุนทั้งจากโรงแรม –โรงพยาบาล ร่วมพัฒนาที่ดิน 350 ไร่ทำเลสัตหีบ ใกล้สนามบินอู่ตะเภา ในรูปแบบ “มิกซ์ยูส (Mixed-use)” มูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาทในปลายปี 2562 รองรับการลงทุน การท่องเที่ยว และการขยายตัวของพื้นที่ อีอีซี ในอนาคต พร้อมเดินหน้าพัฒนา 5 โครงการต่อเนื่องมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท

 

นายธีระธัช รัตนกมลพร กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท แพน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกมาร่วม 28 ปี ด้วยทุนจดทะเบียนในปัจจุบัน 200 ล้านบาท(ชำระเต็ม)เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตะวันออกในปัจจุบัน โดยมองว่า ปัจจุบันตลาดมีแนวโน้มขยายตัวมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันราคาที่ดินก็ปรับตัวขึ้นสูงถึง 30-40 % ขึ้นอยู่กับทำเลและขนาดของที่ดิน โดยมีปัจจัยจากการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะพัฒนาโครงการเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ทำให้ผู้ประกอบการมีการเข้ามาพัฒนาโครงการกันเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการในที่อยู่อาศัย และการลงทุน

 

เปิดกว้างรับผู้ร่วมทุนสร้างเมืองใหม่รูปแบบ“มิกซ์ยูส (Mixed-use)” มูลค่า 1.5หมื่นลบ.

จากปัจจัยบวกดังกล่าว ทำให้บริษัทฯได้วางแผนเชิงรุกในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในรูปแบบการลงทุนเปิดโครงการใหม่รวมถึงการพัฒนาในส่วนของเฟสต่อเนื่อง รวมถึงการปรับรูปแบบการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับลูกค้าเป้าหมายและกรแสความต้องการของตลาด โดยกลุ่มบริษัทแพน พลัสฯยังได้ลงทุนซื้อที่ดินเป็นแลนด์แบงก์ ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ใกล้สนามบินอู่ตะเภา พัทยา และใกล้ท่าเรือสัตหีบ จำนวนกว่า 350 ไร่เพื่อเตรียมแผนสร้างเมืองใหม่ในรูปแบบ“มิกซ์ยูส (Mixed-use)” ผสมผสานทั้งที่อยู่อาศัย ,เวลเนส ,โรงแรม ฯลฯ รองรับในการลงทุน การท่องเที่ยว และการขยายตัวของพื้นที่ EEC ในอนาคต โดยบริษัทฯพร้อมที่จะเปิดรับพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนทั้งจากกลุ่มโรงพยาบาล ,โรงแรม ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างเจรจาอยู่ 2-3 ราย ซึ่งน่าจะเริ่มลงมือการพัฒนาได้ในช่วงปลายปี 2562 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดวางผังการพัฒนาโครงการ

“โครงการนี้ถ้าเราลงทุนเองมูลค่าการลงทุนก็น่าจะ 10,000 ล้านบาท(ลบ.) แต่หากเราร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง มีแบรนด์เป็นที่รู้จักในตลาดทั้งคนไทยและต่างชาติแล้ว มูลค่าโครงการก็น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาท” นายธีรธัช กล่าว

 

เดินหน้าพัฒนาโครงการเก่าต่อเนื่อง-ปรับแผนเปิดขายคอนโดฯเพื่อนักลงทุน

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขายอยู่ 5 โครงการมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,000 ล้านบาท ดังนี้ 1.โครงการ พี วิลเลจ หนองชาก ชลบุรี พื้นที่กว่า 30 ไร่ พัฒนาเป็นทั้งอาคารพาณิชย์ และทาวน์โฮม จำนวน 120 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนที่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมในทำเลดังกล่าวอีก 5 อาคารๆละ 77 ยูนิต รวมจำนวน 385 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 600 ล้านบาท การดำเนินการพัฒนาดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนแผนการพัฒนาเพิ่มเติมจาก พัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อขาย เป็นการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน และอาจเปลี่ยนเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ โดยทั้ง 2ตลาดทั้งการพัฒนาเพื่อการลงทุน และตลาดเช่านั้นมีความต้องการของตลาดค่อนข้างมาก แต่ทั้งนี้รูปแบบการพัฒนาของบริษัทนั้นจะค่อยเป็นค่อยไปทยอยทำตามความต้องการของตลาดมากว่าที่จะลงทุนพร้อมกันครั้งเดียว

 

2. โครงการ The Premio Town บ้านบึง ชลบุรี บนเนื้อที่ 141 ไร่ เป็นโครงการ “มิกซ์ยูส (Mixed-use)” มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด จำนวน 500 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 3-15 ล้านบาท, คอมเมอร์เชียล ,สปอร์ตคลับ ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่และคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคารๆละ 77 ยูนิต ปัจจุบันพัฒนาและเปิดขายไปแล้ว 2 อาคาร และกำลังเปิดขายอาคารที่ 3 ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มตั้งแต่ 30 ตารางเมตรหรือ ตร.ม. ราคาขายที่ 60,000 บาทต่อตร.ม. จับตลาดกลุ่มซื้อการลงทุน เนื่องจากในย่านดังกล่าวสามารถปล่อยเช่าได้ประมาณ 8,000 บาท ต่อเดือน เพื่อส่งเสริมการตลาดและการขายบริษัทฯการันตีผลตอบแทน 6% 3 ปี “จองหมื่น คืนหลักแสน”  ปัจจุบันมียอดจองจากลูกค้าไปแล้ว 50 %

 

3. โครงการ เดอะไพร์ม ลอนดอน (หนองซาก-บ้านบึง) บนเนื้อที่ 28 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ 70 ยูนิตราคาขายเฉลี่ยที่ 4.5 ล้านบาทต่อยูนิต และซุปเปอร์ทาวน์โฮม 84 ยูนิตราคาขายเริ่มที่ 2.5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการรวม กว่า 525 ล้านบาท

4.โครงการ อินฟินิตี้ วัน (Infinity One) กล้ห้างเซ็นทรัล ชลบุรี เป็นคอนมิเนียม จำนวน 2 อาคารสูง 31 และ 34 ชั้น จำนวน 660 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันได้พัฒนาอาคารเอ ความสูง 34 ชั้นจำนวน 350 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 26-263 ตร.ม. โดยมีลักษณะของห้องให้เลือก 4 แบบดังนี้ แบบขนาด 1 ห้องนอน เนื้อที่ 26-44 ตร.ม,แบบขนาด 2 ห้องนอน เนื้อที่ 51-70 ตร.ม,แบบขนาด 3 ห้องนอน เนื้อที่ 96 ตร.มและ เพนท์เฮ้าส์ เนื้อที่ 119-263 ตร.ม ราคาขายเฉลี่ยกว่า 100,000 บาทต่อตร.ม. ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 70 % โดยก่อสร้างแล้วเสร็จจะเริ่มโอนให้กับลูกค้าภายในสิ้นปีนี้ และในวันที่ 10-15 สิงหาคม 2561 บริษัทได้จัดงาน “ Pan Plus Fair” ที่ ห้างเซ็นทรัล ชลบุรี

โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำวิวไร้ขอบเขต , ฟิตเนสลอยฟ้า,ห้องสมุดลอยฟ้า, ห้องเด็กเล่นลอยฟ้า , ห้องเซาวน์น่า,ห้องสตรีม และ สวนหย่อมลอยฟ้าชั้นบนสุดชมวิว เมือง, เข้าออกด้วยระบบ Key Card Access และ รปภ.24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิด (CCTV) ที่จอดรถมากกว่า 50%

ทั้งนี้โครงการ อินฟินิตี้ วัน ตั้งอยู่บนทำเลทอง สามารถเชื่อมต่อทางด่วนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ – ชลบุรี ง่ายต่อการเดินทาง และจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ที่สามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วเพียง 1 นาที ถึงเซ็นทรัลชลบุรี 5 นาทีถึงโรงพยาบาลชลบุรี และโรงพยาบาลเอกชล1 ห่างจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร 20 นาที และ 40 นาที ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้โครงการ อินฟินิตี้ วัน ถือว่าเป็นคอนโดมิเนียมแห่งอนาคต กับรางวัลชนะเลิศคุณภาพระดับ 5 ดาว Best Mixed-Use Architecture Asia Pacific Property Award 2016 – 2017 บนทำเลทองของชลบุรี กับโอกาสในการลงทุนสู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

 

และโครงการที่ 5 คือ โครงการ Private 33 ตั้งอยู่บนทำเลทอง ถนนพระยาสัจจา กลางใจเมืองชลบุรี เป็นบ้านหรู 3 ชั้น พื้นที่ประโยชน์ใช้สอย 290 – 340 ตร.ม บนที่ดินทำเลทอง 58-70 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 15.9 – 18.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมกว่า 400 ล้านบาท การออกแบบโครงการ “Private 33” เป็นแนวคิด ‘Smart & Innovation’ สะท้อนถึงคุณค่าและประโยชน์ใช้สอยบนทุกตารางนิ้ว ในรูปแบบของพื้นที่และบรรยากาศส่วนตัว ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีหลายเจนเนอเรชั่นในทุกช่วงวัย ตั้งอยู่ใกล้แหล่งธุรกิจ และสถานที่ท่องเที่ยว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บนถนนหลักของชลบุรี

 

รู้จักลูกค้า-รู้จักพื้นที่ พัฒนาโปรดักส์สู้ศึกตลาดแข่งเดือด

พร้อมกันนี้นายธีระธัช ยังกล่าวยอมรับว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในชลบุรี มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูงทั้งจากผู้ประกอบการท้องถิ่นด้วยกันและจากผู้ประกอบการจากส่วนกลางกรุงเทพฯ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็มีความพร้อมที่จะแข่งขัน เนื่องจากมีความได้เปรียบและความชำนาญในการหาที่ดิน หรือหาทำเลที่มีศักยภาพ รู้จักลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ประกอบกับหลักการและแนวคิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัท แพน พลัส ให้ความสำคัญในการออกแบบโครงการเพื่อรองรับกลุ่มที่จะมาพักอาศัยทุกวัย สอดรับกับโครงการพัฒนาเมือง “อัจฉริยะน่าอยู่” หรือ “สมาร์ท ซิตี้”ในพื้นที่เขตอีอีซี ซึ่งจะมีผลและกระตุ้นกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ หรืออาจจะเป็นกลุ่มต่างชาติ กลุ่มคนจีนที่มาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น จึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นองค์ประกอบหลักในแต่ละโครงการให้มีคุณภาพ เพื่อรองรับการอยู่อาศัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในแง่การลงทุนของลูกค้าอีกด้วย

 

“เราชำนาญที่นี่ เป็นดีเวลลอปเปอร์ท้องถิ่นชลบุรี เราเก่งเรื่องหาที่ดิน หาทำเล เรารู้จักลูกค้า รู้จักพื้นที่ การพัฒนาโปรดักส์ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เรามั่นใจว่าเราสู้กับใครก็ได้” นายธีระธัช กล่าวย้ำในตอนท้าย