แสงฟ้าก่อสร้างฯขยายไลน์ธุรกิจสู่ดีเวลลอปเปอร์เต็มตัว หลังซื้อหุ้นจากเครือณุศาศิริ 100% มูลค่า 350 ล้านบาท ตั้งบริษัท เอสเอฟซี เวนเจอร์ ศรีราชาฯ พัฒนาโครงการ “Yuu ศรีราชา”มูลค่า 1,750 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซล 18-19 ส.ค.61 นี้ คาดปิดการขายก่อนโครงการแล้วเสร็จไตรมาส3/62 ประกาศหากสบช่องร่วมทุน-พัฒนาอสังหาฯพร้อมส่งบริษัทลูกเข้าถือหุ้น

นพ.เชิดศักดิ์ อัมพรสุขสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯได้เข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัท ณุศา ศรีราชา คอนโดเทล จำกัด ในเครือบริษัท ณุศาศิริ จำกัด(มหาชน)ในสัดส่วน 50% เมื่อประมาณปี2560 ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาโครงการ “ณุศา ศรีราชา” แต่เนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นที่เท่ากันทำให้สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อโครงการ ทางกลุ่มณุศาศิริฯจึงยอมให้กลุ่มแสงฟ้าก่อสร้างฯถือหุ้นเพิ่มเป็น 60% และได้ให้กลุ่มแสงฟ้าเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าว  แต่ปรากฏว่าเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ทางกลุ่มณุศาศิริ มีความจำเป็นต้องขายหุ้นที่เหลือ 40% ให้กับกลุ่มแสงฟ้าก่อสร้างฯ คิดเป็นเม็ดเงินรวมทั้งสิ้น 350 ล้านบาท

 

ดังนั้นจึงถือเป็นก้าวแรกที่กลุ่มแสงฟ้าก่อสร้างฯเข้ามาดำเนินธุรกิจในรูปแบบของผู้ประกอบการอสังหาฯเป็นครั้งแรก และเปลี่ยนชื่อบริษัท ณุศา ศรีราชา คอนโดเทล จำกัด เป็นบริษัท เอสเอฟซี เวนเจอร์ ศรีราชา จำกัด แทน ด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 315 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้แบ่งที่ดินออกมา 5.5 ไร่(จากทั้งหมด 11 ไร่) โดยสามารถพัฒนาได้ 2 โครงการ แต่ในเบื้องต้นได้พัฒนาก่อน 1 โครงการ ซึ่งเป็นคอนโดฯสูง 29 ชั้น จำนวน 285 ยูนิต ที่เดิมกลุ่มณุศาศิริ ได้เปิดพรีเซลไปเมื่อปี2558 และมีลูกค้าซื้อไปแล้ว 120 ราย  แต่ทางกลุ่มแสงฟ้าฯได้ปรับเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Yuu ศรีราชา” รวมไปถึงปรับฟังก์ชั่นการใช้งานในแต่ละยูนิตให้ทันสมัยมากขึ้น  โดยมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  33.50-71.50 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.7-9 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 130,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดพรีเซลในวันที่ 18-19 สิงหาคม 2561 นี้ ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัท เอ็ดมัน ไทน์ จำกัด เป็นผู้บริหารงานงาน โดยลูกค้าที่มาจองในช่วงพรีเซล จะได้รับสิทธิพิเศษส่วนลดเงินสดสูงสุด มูลค่ากว่า 900,000 บาท และลุ้นรับสิทธิซื้อห้องในราคาสุดพิเศษ 99,999 บาท/ตารางเมตร

โดยลูกค้าที่เคยซื้อห้องชุดไปในช่วงที่กลุ่มณุศาศิริ เปิดการขายทั้งหมด 120 ราย ได้ขอเจรจาคืนเงินจองและเงินทำสัญญาไปประมาณ 60-70 ราย ส่วนอีก 50-60 รายยังยืนยันที่จะผ่อนดาวน์ต่อ นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนชาวจีนสนใจติดต่อขอซื้อยกชั้นอีก 2 ชั้น จำนวนกว่า 20 ยูนิต ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้  คาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2562 อย่างแน่นอน

 

“เรามั่นใจว่าโครงการนี้จะขายได้ด้วยตัวเอง เพราะที่ตั้งโครงการมีศักยภาพ และอีกหนึ่งปัจจัยเสริมที่สำคัญก็คือโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลส่งเสริมและผลักดันให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุค Thailand 4.0 ที่เราเห็นความเคลื่อนไหวและความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรายิ่งมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ เพราะศรีราชา ถือว่าเป็นเมืองที่มีความพร้อมในการรองรับนักลงทุน เชื่อว่าเมื่อEEC มีความชัดเจนมากขึ้นก็จะสามารถดึงคนเข้ามาทำงานในพื้นที่และอยู่อาศัยในศรีราชาได้ถึง 10 ล้านคน”นพ.เชิดศักดิ์ กล่าว

 

นพ.เชิดศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ลูกค้าที่ซื้อโครงการ “Yuu ศรีราชา” นั้น ต่างมองถึงมูลค่าที่จะสามารถเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากหลังรัฐบาลประกาศสนับสนุนEECแล้ว ส่งผลให้ราคาที่ดินติดถนนสุขุมวิทในย่านศรีราชา มีราคาสูงถึง 100 ล้านบาท/ไร่ขึ้นไป ซึ่งโครงการ  “Yuu ศรีราชา”เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ เชื่อว่าจะสามารถปล่อยเช่าห้องขนาด 40 ตารางเมตร ได้ในราคา 40,000 บาท/เดือน โดยเจ้าของห้องชุดจะได้รับผลตอบแทน 6-7%ต่อปี

“เราไม่ได้มองตัวเองเป็นดีเวลลอปเปอร์ เพราะธุรกิจหลักของเรายังคือรับเหมาก่อสร้าง แต่เมื่อมีโอกาสและมีช่องทางในการลงทุนในธุรกิจอื่นๆก็ไม่มีข้อจำกัด  และพร้อมที่จะเข้าไปลงทุน โดยก่อนหน้านี้แสงฟ้าฯก็ได้ร่วมทุนพัฒนาอาคารสำนักงานและคอนโดฯมาแล้ว 3 โครงการ แต่นับจากนี้ไปหากจะมีการพัฒนาโครงการเองหรือไปร่วมทุนพัฒนาโครงการกับผู้ประกอบการรายอื่นก็จะเข้าไปถือหุ้นโดยบริษัท เอสเอฟซี เวนเจอร์ ศรีราชา จำกัด”นพ.เชิดศักดิ์ กล่าวในที่สุด

 

ส่วนที่ดินที่เหลืออีก 2 ไร่กว่ามีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูงกว่า 30 ชั้น จำนวน 295 ยูนิต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบบ และกำลังจะจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปลายปี2561 นี้ และคาดว่าจะสามารถเปิดการขายโครงการที่ 2 ได้ในปี2562

 

ด้านนายอนุศักดิ์ อัมพรสุขสกุล ประธานกรรมการ บริษัท เอสเอฟซี เวนเจอร์ ศรีราชาจำกัด กล่าวว่า โครงการ “Yuu ศรีราชา”  นั้นมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ คือ1.กลุ่มผู้ที่สนใจซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคนกรุงเทพฯที่ต้องการซื้อเก็บไว้เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่ สองเพราะใช้เวลาขับรถเพียงแค่ 1 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ ด้วยการคมนาคมที่สะดวกสบาย หรือจะเป็นคนท้องถิ่นที่ต้องการขยายครอบครัว ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงเช่นกัน เนื่องจากศรีราชาเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวสูงมากส่วน 2. กลุ่มผู้ที่สนใจในการลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้ และ3.กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่สนใจจะซื้อไว้เพื่อลงทุนหรือใช้ชีวิตในวัยเกษียณ

“นอกจากนี้อีกหนึ่งในจุดขายของโครงการดังกล่าวคือ รับประกันหลังการขาย 5 ปี ในส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร ระบบไฟฟ้า ประปา รวมไปถึงชุดตกแต่งภายในที่มากับห้องชุด เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ ทั่วไปในท้องตลาดที่รับประกันหลังการขายเพียง 1-2 ปี ซึ่งเราคาดว่าน่าจะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อลงทุนปล่อยเช่า”นายอนุศักดิ์ กล่าวในที่สุด