กลุ่ม”มหากิจศิริ”ปรับแผนขยายไลน์ธุรกิจสร้างรายได้ระยะยาว นำที่ดินสะสม 2แปลง ย่านเพลินจิต-นานา ชิมลางโรงแรม 400 ห้อง มูลค่าการลงทุน 2,000 ล้านบาท ดึงเชน“Penta Hotel”เครือ “โรสวูด โฮเทล กรุ๊ป”บริหารงาน ทั้งเดินหน้าผุดคอนโดฯโลว์ไรส์ปีละ 1-2 โครงการต่อเนื่อง ไตรมาส3/61 จ่อเปิดตัว “เดอะเนสท์ สุขุมวิท71” มูลค่า 2,000 ล้านบาท อนาคตสนนำที่ดินย่านพระราม4พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสรับกระแสตลาด ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้แตะ 2,500 ล้านบาท

 

 

นางอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือบริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป จำกัด (บุตรสาวคนเล็กนายประยุทธ มหากิจศิริ ผู้ดำเนินธุรกิจ”เนสกาแฟ”) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯว่าจะขยายมายังธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวให้กับบริษัทมากขึ้น ด้วยการนำที่ดินสะสมของครอบครัว 2 แปลงย่านใจกลางเมืองมาพัฒนาโรงแรมในรูปแบบ “ไลฟ์สไตล์ โฮเทล” ได้แก่ที่ดินบริเวณซอยนายเลิศ ด้านหลังโครงการ”โนเบิล เพลินจิต” บนพื้นที่ 300 ตารางวา เป็นที่ดินสะสมประมาณ 3-4 ปี  พัฒนาเป็นโรงแรม สูง 8 ชั้น ขนาด 150 ห้อง ขนาด 24 ตารางเมตร  ราคา 2,000-2,500 บาท/คืน ใช้งบในการลงทุน 800 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขออนุญาตก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2563 ซึ่งเป็นการพัฒนาโดยบริษัท เดอะเนสท์ เพลินจิต จำกัด

 

ส่วนอีกแปลงตั้งอยู่บริเวณซอยนานา บนพื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง เป็นที่ดินสะสมประมาณ 10 ปี ซึ่งจะพัฒนาโรงแรมในรูปแบบเดียวกันคือ สูง 8 ชั้น จำนวน 250 ห้องพัก ราคาประมาณ 2,000-2,500 บาท/คืน มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยจะพัฒนาภายใต้บริษัท เดอะเนสท์ นานา จำกัด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คงต้องรอให้โรงแรมทำเลเพลินจิตมีความชัดเจนก่อน โดยโรงแรมทั้ง 2 ทำเลจะใช้แบรนด์ “Penta Hotel”ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ของ “โรสวูด โฮเทล กรุ๊ป”

 

“โดยที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้นซื้อมาในราคาที่ต่ำกว่า 500,000 บาท/ตารางวา จึงทำให้มีต้นทุนในการพัฒนาที่ถูกลง โดยทั้ง 2 โครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2566  คาดว่าแต่แห่งจะใช้ระยะเวลาในการถึงจุดคุ้มทุนประมาณ 8 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในช่วงนั้น”นางอุษณา กล่าว

 

นางอุษณา กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางการดำเนินงานในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยว่าในช่วงระยะ 2 ปีนี้ยังคงเน้นการพัฒนาคอนโดฯโลว์ไรส์ย่านใจกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง ปีละ1-2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท โดยมองว่าตลาดคอนโดมิเนียม ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ผู้บริโภค  มีความเชื่อมั่น และ เริ่มกลับมาสนใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ ปัจจุบันชาวต่างชาติสนใจเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ และ ฮ่องกง  ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลกรุงเทพชั้นในและเขตรอบกรุงเทพชั้นในที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นทำเลที่มาแรง มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นมาก เชื่อว่าการแข่งขันจะเข้มข้น ด้วยจำนวนโครงการใหม่ที่จะทยอยเปิดตัว ด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลาง-บนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีเงื่อนไขของราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพและความสะดวกในการเดินทางซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อหรือลงทุน สำหรับลูกค้าของเ “ดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้” ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากยอดขายปัจจุบัน และอีก 50% ซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยและต่างชาติ คิดเป็น70 : 30 และลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็น ชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์

 

โดยในไตรมาส3/2561 นี้จะมีการเปิดตัวโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท71” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น จำนวน 5 อาคาร ขนาด 28-40 กว่าตารางเมตร ราคา 2.39-5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 100,000-110,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 515 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท  และในปี2562 มีแผนที่จะเปิดตัวอีกอย่างน้อย 1 โครงการ มูลค่า 1,500-2,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

นอกจากนี้ทางครอบครัวยังมีที่ดินย่านใจกลางเมืองอีก 2 แปลง คือย่านพระราม4 เยื้องโครงการ”วัน แบงค็อก”(One Bangkok) จำนวน 5 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นได้ ซึ่งอาจจะพัฒนาในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วยคอนโดฯและอาคารสำนักงาน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนอีกแปลง อยู่ทำเลสาทร ซอย1 พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ แต่ยังไม่มีแผนจะพัฒนาแต่อย่างใด  

 

และก่อนหน้านี้บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาคอนโดฯสไตล์คอนเท็มโพรารี่ สูง3-4 ชั้น บริเวณรอบสนามกอล์ฟเมาน์เท่นครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ ที่อ.สี่คิ้ว จ.นครราชสีมา แต่ต้องชะลอการพัฒนาก่อน เนื่องจากต้องการรอดูความชัดเจนของโครงการโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐก่อน

 

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 22” ซึ่งป็นโครงการที่ 2 ของบริษัท ต่อจากโครงการ “เดอะเนสท์ เพลินจิต”ที่ปิดการขายไปแล้ว โดยโครงการดังกล่าวเป็นคอนโดฯโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 316 ยูนิต ออกแบบโดย PAA มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ที่เปิดขายช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา  ขณะนี้มียอดขายแล้ว 90% คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปี 2561 ส่วนการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2560  ที่ผ่านมา

 

 

ด้านโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” เป็นโครงการ โลว์ไรส์ สูง   8 ชั้น มี 3 อาคาร ขนาด 22.7-47 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.39 -4.79 ล้านบาท  จำนวน 439 ยูนิต มูลค่าโครงการ  1,600 ล้านบาท  ซึ่งเปิดพรีเซลเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 80% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ก่อนปลายปีนี้ ด้านการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2562

 

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 2,500 ล้านบาท จาก 3 โครงการ คือ เดอะเนสท์ เพลินจิต,เดอะเนสท์ สุขุมวิท22 และเดอะเนสท์ สุขุมวิท64 โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,500 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาท