ฮาบิแททฯเผยคนไทยต่างชาติยังสนใจลงทุนอสังหาฯต่อเนื่อง จากความมั่นใจเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะทำเลซีบีดีกทม.และพัทยา ระบุครึ่งปีหลังผุดอีก 3โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ปลื้มครึ่งปีแรกฟันยอดขายแล้ว 1,900 ล้านบาท  จากเป้าทั้งปีที่ 3,000 ล้านบาท 

 

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผย ภาพรวมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน มีการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้นทุกปี ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในคอนโดมิเนียมจำนวนมากเห็นได้จากโควตาการขายในส่วนต่างชาติสามารถขายได้ค่อนข้างเร็ว  และมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนมีแนวโน้มการเติบโตดีต่อเนื่องไปอีกหลายปี  เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศไทยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น จากความมั่นใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลในกรุงเทพฯและพัทยา เพราะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเริ่มมีความชัดเจนออกมามากขึ้น หลังเริ่มทยอยเปิดการประมูล โดยเฉพาะการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก  (EEC) ที่จะสามารถช่วยหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาได้อีก 3-5 ปี ส่วนตลาดอสังริมทรัพย์ในกรุงเทพฯยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริเวณ CBD ของกรุงเทพฯที่ดินเริ่มหายากและราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นสูงอย่างเนื่อง โดยที่การลงทุนพัฒนาโครงการของบริษัทในกรุงเทพฯจะเน้นไปที่โซนสุขุมวิทเป็นหลัก

 

ส่วนดอกเบี้ยยังมีอัตราต่ำไม่ถึง 1%ภาคอสังหาฯจึงมีทิศทางที่เป็นบวก ส่งผลให้มีผู้หันมาลงทุนในอสังหาฯเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มตลอด เนื่องจากการลงทุนหุ้นมีความเสี่ยงสูงและโอกาสขาดทุนมีอยู่ นักลงทุนจึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าและผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยการเข้ามาลงทุนในอสังหาฯซึ่งสถิตินักลงทุนเติบโตขึ้นมาปีละ 10-20% ทุกปี ส่วนผู้ที่เคยลงทุนอสังหาฯ อยู่แล้วก็ยังลงทุนต่อเนื่อง

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯปี2561 ยังเป็นไปตามเป้า คือ 5โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ คือ “Leroy Ruamrudee” ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ “Walden Asoke” ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80%  ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 บริษัทฯเตรียมเปิดตัวอีก 3โครงการใหม่ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 จะเปิดตัว 2 โครงการ ภายใต้ชื่อ วาลเด้น สุขุมวิท 39”(Walden) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 322 ตารางวา เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น ขนาด 35 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.6 ล้านบาท จำนวน 116 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท  และ”วาลเด้น สุขุมวิท 31 ตั้งอยู่บนพื้นที่  265 ตารางวา เป็นคอนโดฯสูง ชั้น ขนาด 35 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่ 5.6 ล้านบาทจำนวน 109 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท 

 

ทั้งนี้ทำเลสุขุมวิทนับเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและมีศักยภาพที่ดีในด้านการเดินทาง จึงยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลที่ไม่เพียงแค่เป็นทำเลที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบครบถ้วน  ทำให้เรามั่นใจว่าทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้า  หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลสุขุมวิทนี้ถือว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากดีมานด์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น และชาวจีน รวมถึงนักลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของฮาบิแทท กรุ๊ป

 

“นักลงทุนชาวไทยมีการเติบโตถึง 60% และในส่วนของนักลงทุนชาวต่างชาติ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีนักลงทุนชาวสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีนที่มีสัดส่วนมากสุดถึง 40% ก็เริ่มเห็นนักลงทุนจากประเทศอื่นๆเพิ่มมากขึ้นอย่าง ยุโรปตะวันออกกลาง และเมียนมาร์ โดยพบว่ามีตัวเลขการเติบโตปีละ 20-30% เนื่องจากอสังหาฯในเมืองใหญ่มีราคาสูงขึ้นมาก ซึ่งหากต้องการลงทุนจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนอย่างน้อย 20-30 ล้านบาทเพื่อซื้อคอนโดมิเนียม 1 ห้อง ขณะที่อัตราการปล่อยเช่าจะได้ผลตอบแทน (Yield) เพียง 2-3% เท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มกับการลงทุนนัก ดังนั้นกลยุทธ์การขายของบริษัทในปีนี้จะขยายฐานไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยที่สัดส่วนยอดขายต่างชาติเพิ่มขึ้นมาเป็น 40% และลูกค้าชาวไทยลดลงมาเป็น 60% จากเดิมที่ 70-80% เนื่องจากลูกค้าต่างชาติมาซื้อโครงการในพัทยาเพิ่มมากขึ้น”นายชนินทร์ กล่าว

 

สำหรับอีกหนึ่งโครงการ จะขยายโครงการลงทุนเพิ่มเติมในพัทยาเหนือ  เป็นโรงแรมแบรนด์ใหม่ ระดับ ดาว   สูง ชั้น จำนวนกว่า 300  ห้องพัก อัตราค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 2,000—3,000 กว่าบาท/คืน มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท โดยได้มอบหมายให้เชนจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาบริหารงานและจัดการการเช่า  แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยยังคงยึดโมเดลการลงทุนแบบการรันตีค่าเช่า 

 

    

นายชนินทร์ กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานของฮาบิแทท กรุ๊ป  ในครึ่งปีแรกว่า สามารถทำยอดขายได้ 1,900 ล้านบาท  หรือคิดเป็น 63%  ของเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย1,298 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการขายโครงการที่มีอยู่เดิมทั้งในกรุงเทพฯและพัทยา ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในช่วงปลายปี 2561 ไปจนถึงปี 2563 ซึ่งในปีนี้จะมีการเริ่มทยอยโอนโครงการครอสทู ซีเฟียร์ เข้ามาในช่วงต้นปี และในช่วงปลายปีนี้จะมีโครงการครอสทู โอเชี่ยนเฟียร์ เข้ามาเสริม ซึ่งบริษัทคาดว่ารายได้ไนปีนี้จะอยู่ที่400-500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และคาดว่าจากการเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถผลักดันให้Backlog ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4,000-5,000ล้านบาท ในช่วงสิ้นปี 2561

        

 ทั้งนี้การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริททรัพย์ของบริษัทในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้เงินทุนมาจากเงินกู้สถาบันการเงินสัดส่วน 65% โดยที่เรื่องของแหล่งเงินทุนในอนาคต บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยที่จะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินในการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งการลงทุนของบริษัทยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยที่ในปี 2562 บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาไว้ทั้งหมดแล้ว 4 แปลง มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นที่ดินในกรุงเทพฯทำเลสุขุมวิท จำนวน 4 แปลง และที่ดินในพัทยา 1 แปลง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ พร้อมกับตั้งเป้ารายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท

 

“ฮาบิแทท”ขยายฐานชิงลูกค้าย่านซีบีดีกทม.ครั้งแรก

“ฮาบิแทท”ปรับแผนปี61ผุด5โครงการมูลค่า4พันล้าน พร้อมเปิดขายบ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี่120ล้านบาทก.พ.นี้