ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องมา 2 – 3 ปีติดต่อกันนั้นอาจจะยังไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นหรือว่ากำลังซื้อของคนไทยมากนัก เพราะว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะมีการขยายตัวไม่มากนัก เนื่องจากเพิ่งจะมีการขยายตัวในอัตรามากกว่า 4% เมื่อช่วงปลายปี2560 เท่านั้นเอง และมีการขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่1/2561 และคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งปี2561 จะอยู่ที่ประมาณ 4.2  – 4.7  มากที่สุดในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกำลังซื้อของคนไทยหรือว่าความเชื่อมั่นของคนไทยอาจจะยังไม่ได้เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ เพราะยังคงมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ อีก เช่น ภาวะหนี้สินครัวเรือนของคนไทยที่ยังค่อนข้างสูง ซึ่งมีผลต่อการใช้จ่ายและการก่อหนี้สินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนไทย อีกทั้งมีผลต่อการขอสินเชื่อต่อธนาคารต่างๆ ซึ่งทำได้ยากมากขึ้น เพราะธนาคารเข้มงวดในการพิจารณาการขอสินเชื่อ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มีผลต่อภาวะตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมค่อนข้างชัดเจน

 

 

นายสุรเชษฐ กองชีพ  ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาด บริษัท ไรส์แลนด์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครอาจจะมีการขยายตัวค่อนข้างมากในช่วงไตรมาสที่ 1/2561 ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกประมาณ 21,500 ยูนิต และเป็นจำนวนที่ไม่ได้แตกต่างจากปีก่อนหน้านี้มากนัก โดยนอกเหนือจากทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย และที่กำลังก่อสร้างจะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการแล้ว พื้นที่เมืองชั้นในตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินปัจจุบันก็เป็นที่สนใจของผู้ประกอบการหลายรายเช่นกัน แต่ไม่ได้มากเหมือนในอดีต เพราะผู้ประกอบการเลือกเปิดเฉพาะในทำเลที่น่าสนใจที่ทุกคนรับรู้ว่าที่ดินราคาแพงเพราะว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเปิดขายโครงการในราคาสูง เช่น หลังสวน ทองหล่อ ราชเทวี เป็นต้น ผู้ประกอบการหลายรายยังคงชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกปี2561 แต่ถ้าพิจารณาจากจำนวนโครงการที่พวกเขามีแผนจะเปิดขายใหม่ในปี2561 นั้นผู้ประกอบการทุกรายมีแผนเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมกันมากกว่าปีก่อนหน้านี้ทุกราย นอกจากนี้ผู้ประกอบการทุกรายยังคงมีแผนเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้นเช่นกันเพื่อสร้างรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยให้คงที่เพราะตลาดคอนโดมิเนียมอาจจะยังคงมีความผันแปรในเรื่องกำลังซื้อ และความเชื่อมั่นของคนไทยที่ยังไม่สูงมาก อีกทั้งอุปทานเหลือขายในตลาดที่ยังคงมีอยู่ไม่น้อยในตลาด ซึ่งอุปทานเหลือขายนี้เป็นตัวกำหนดราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และเป็นตัวกดดันให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาทำเลในการเปิดขายโครงการใหม่รวมไปถึงรูปแบบโครงการมากขึ้น

 

ส่วนตลาดบ้านจัดสรรอาจจะเป็นตลาดที่มีความคึกคักมากมายในช่วงครึ่งแรกของปี2561 ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้านี้ เพราะว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่เพิ่มสัดส่วนรายได้จากการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้น แม้ว่าจำนวนของบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ในกรุงเทพมหานครจะลดลงต่อเนื่องในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้ประกอบการยังคงหาที่ดินไม่ไกลจากแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างเพื่อเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรขนาดเล็กจำนวนยูนิต 200-300 ยูนิตหรือน้อยกว่านี้ โดยผู้ประกอบการเลือกเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ในจังหวัดอื่นๆ รอบกรุงเทพมหานคร เพราะราคาที่ดินในกรุงเทพมหานครนั้นไม่เหมาะในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่เหมาะกับกำลังซื้อส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานครที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท พื้นที่กรุงเทพมหานครรอบนอกเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการในการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรขนาดไม่ใหญ่นักมากขึ้น โดยรูปแบบบ้านที่เปิดขายค่อนข้างมากคือ ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยวในบางทำเล

 

สำหรับภาพรวมในช่วงครึ่งหลังปี2561 นั้น คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งเปิดขายโครงการใหม่ให้มากขึ้นเพื่อให้รายได้และอัตราการเติบโตเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ซึ่งทำเลที่น่าสนใจนั้นมีทั้งพื้นที่เมืองชั้นใน เช่น ทองหล่อ พญาไท ราชเทวี และพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอื่นๆ โดยเฉพาะสายสีเขียวตอนเหนือ (หมอชิต – คูคต) และตอนใต้ (แบริ่ง – สมุทรปราการ) สายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) แต่ก็คงต้องจับตามองภาวะเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วยเพราะว่าความเชื่อมั่น และกำลังซื้อนั้นผันแปรกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ตลาดที่คาดว่าจะมีการเปิดขายโครงการมากก็ยังคงเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในระดับราคา 80,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ก็จะมีโครงการระดับราคาขายมากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตรเปิดขายอีกหลายโครงการรวมไปถึงบ้านจัดสรรราคาแพงที่มีราคาขายมากกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิตที่ยังคงมีโครงการเปิดขายใหม่ออกมาต่อเนื่อง

 

ผู้ซื้อคนจีนจะยังคงเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักที่ผู้ประกอบการไทยให้ความสนใจและเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่ผู้ประกอบการไทยเลือกเป็นผู้ซื้อหลักในกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่นั้นเลือกจะไม่บอกกับผู้ซื้อโดยทั่วไปโดยตรงว่ากลุ่มผู้ซื้อหลักในโครงการเป็นคนจีน เนื่องจากคนจีนนั้นเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 1 และมีแนวโน้มมากขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอดในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ทำเลที่เป็นที่สนใจของกลุ่มผู้ซื้อคนจีนยังเป็นทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินปัจจุบัน เช่น สุขุมวิท พระราม 9 รัชดาภิเษกตอนต้น นอกจากนี้ในเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ก็มีกลุ่มผู้ซื้อคนจีนเข้าไปในพื้นที่มากขึ้นในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ยังมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับ กรุงเทพมหานคร