ตระกูล”สถาพร”ถือว่าเป็นกลุ่มที่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจจากการส่งออกสินค้าเกษตร ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซุ่ยเฮงหลีราชสีมาจำกัดและบริษัท ทรัพย์สถาพร จำกัด มานานเกือบ 60 ปี และด้วยความเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ของ “เฉลิม สถาพร”ผู้เป็นบิดาของ”สุนทรสถาพร”ที่บอกกล่าวไว้ว่าเมื่อดำเนินธุรกิจบริโภคแล้ว ก็ควรดำเนินธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์ ด้วย ดังนั้นในช่วงปี 2535-2536 จึงได้ก่อตั้งบริษัท ทรัพย์หิรัญ จำกัด ขึ้นมา และเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯครั้งแรกของ”สุนทร สถาพร”

 

 

เริ่มต้นอสังหาฯครั้งแรกด้วยศูนย์

นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ได้เริ่มต้นธุรกิจอสังหาฯในตำแหน่งผู้จัดการโครงการด้วยการซื้อที่ดินจำนวน 2 ไร่ บริเวณซอยโรงเรียนนายเรือ (สุขุมวิทเทศบาล27)พัฒนาทาวน์เฮาส์ ภายใต้แบรนด์ “บ้านทรัพย์หิรัญ”ราคา 900,000 กว่าบาท จำนวน 20 ยูนิต  ซึ่งในช่วงนั้นไม่มีความรู้ในธุรกิจดังกล่าวเลย อาศัยตระเวนดูวิธีการขายการตลาดจากโครงการต่างๆและออกบูธแนะนำโครงการครั้งแรกที่อิมพีเรียล สำโรง ลูกค้ารายแรกที่”สุนทร”ขายด้วยตัวเองคือ คู่สามี-ภรรยา ที่ประกอบอาชีพวิศวกรและพยาบาล จุดนี้เองทำให้มองว่าอสังหาฯนั้นเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตดังนั้นต้องทำให้ลูกค้าสมหวัง ด้วยการรักษาคำมั่นสัญญาส่งมอบสินค้าตรงตามเวลา ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาด้วยดี จนสามารถพัฒนา”บ้านทรัพย์หิรัญ”ได้ 3 โครงการ รวม 150 ยูนิต

 

ฝ่าวิกฤต”บ้านสถาพร”ตามสัญญา

เมื่อสั่งสมประสบการณ์ได้พอสมควรแล้ว ในปี 2539 จึงได้นำที่ดินของครอบครัวย่านรังสิต คลอง3 ประมาณ 200 ไร่ มาพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ “บ้านสถาพร”ในรูปแบบของทาวน์เฮาส์  ราคา 1.1-1.2 ล้านบาทและบ้านเดี่ยว ราคา 2.5-2.6 ล้านบาท โดยในปีแรกของการเปิดขายสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 100 ยูนิต แต่ยังไม่ทันได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี2540 ส่งผลให้ลูกค้าเกิน 50% ขอคืนเงิน แต่ลูกค้าที่เหลือก็ยืนยันที่จะอยู่อาศัยบ้านในโครงการ ซึ่งบริษัทก็ดำเนินการตามสัญญา ก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และหลังจากพ้นวิกฤตมาได้ ก็ได้ทยอยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนครบ 1,066 ยูนิต ในปี2560 ขณะนี้เหลือรอโอนอีกเพียง 6-7 ยูนิตเท่านั้น 

 

ขยายไลน์รุกคอนโดฯกลางเมือง-แนวราบกลาง-บน

นับเป็นช่วงเวลา 20 กว่าปี ที่”สุนทร สถาพร”ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวในแวดวงอสังหาฯ และพบว่าในช่วงที่ผ่านมาลูกบ้านที่เป็นแฟนเพจโครงการบ้านสถาพร นั้นมีความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมือง ที่ราคาจับต้องได้ โดยเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ในวัยเริ่มทำงานมักต้องการมองหาคอนโดฯย่านใจกลางเมืองอยู่อาศัย เพื่อสะดวกในการเดินทาง ดังนั้นในปี2549 จึงได้ลงสำรวจตลาดและทำการวิจัยข้อมูล ว่าหากจะพัฒนาโครงการภายใต้ 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1.ที่อยู่อาศัยที่อนุรักษ์พลังงาน หรือบ้านเย็น 2.มีความปลอดภัย สะดวกสบายในชีวิตประจำวัน และ3.อยู่อาศัยได้หลายวัย

 

และพบว่าพื้นที่ในหลายทำเลย่านใจกลางเมือง ที่เข้าไปในซอยเล็กน้อยแปลงที่ดินไม่ใหญ่มากนัก ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่ค่อยเข้าไปพัฒนา ยังมีให้เข้าไปทำตลาด โดยตนจะเน้นการพัฒนาทำเลที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าBTS และMRT สายปัจจุบัน  แต่เป็นทำเลที่ดี มีดีมานด์สูงกว่าซัพพลาย และมีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 650 ล้านบาท เริ่มซื้อที่ดินตั้งแต่ปี2560-2561จนสามารถถือครองทั้งหมด 4 แปลง ได้แก่ ที่ดินสาทร ซอย 1 ซื้อมาในราคาประมาณ 500,000บาท/ตารางวา จำนวน 2ไร่ครึ่ง พัฒนาโครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร1” (The SHADE Sathon1)ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น จำนวน 2อาคาร ขนาด 28-60 ตารางเมตร ราคา3.69-7 ล้านบาท  หรือเริ่มต้นที่130,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 278 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในเดือนกันยายน 2561 นี้คาดว่าจะสามารถปิดการขายภายในระยะเวลา 1-2 เดือน

 

ส่วนที่ดินอีก 3 แปลงจะนำมาพัฒนาและเปิดการขายใน2562 ได้แก่ที่ดินบริเวณเย็นอากาศ ซอย2 พื้นที่ 440 ตารางวา ซื้อมาในราคาประมาณ 400,000 บาท/ตารางวา มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ 1 อาคาร ภายใต้แบรนด์ “เดอะ เชดด์ ทวิกก์์”เย็นอากาศ( The Shade Twig) ราคาประมาณ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตรจำนวน 100 กว่ายูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 550 ล้านบาท 

 

ที่ดินบริเวณถนนพระราม4 เยื้องโครงการ One Bangkok ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ซื้อที่ดินมาในราคา 1 ล้านบาท/ตารางวา มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์”เดอะ คราวน์”พระราม4  (The Crown) ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะพัฒนาสูงเกินหรือต่ำกว่า 20 ชั้น โดยจะขายในราคา 200,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป จำนวนประมาณกว่า 200 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ2,000 ล้านบาท 

 

ส่วนแปลงสุดท้ายตั้งอยู่ที่รังสิต คลอง5  จำนวน 99 ไร่ ซื้อมาในราคา6 ล้านบาท/ไร่ พัฒนาภายใต้แบรนด์ “ดิ อิเธอร์นิตี้”รังสิตคลอง 5 (The Eternity) รวมมูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท  โดยแบ่งพื้นที่ 74 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว ราคา 5-10ล้านบาท จำนวนกว่า 300 ยูนิต และที่เหลืออีก 25 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์  ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากลุ่มค้าปลีก แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

 

 

“เราจะมีการแบ่งแยกแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในเครืออย่างชัดเจน โดยบริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด จะเน้นการพัฒนาโครงการแนวสูงย่านใจกลางเมือง สัดส่วน 50% โครงการแนวราบระดับกลาง-บน สัดส่วน 45% และรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Recurring Incomes สัดส่วน 5%  ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ในการรุกตลาดที่แตกต่างกันออกไป โดยแนวราบจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องศักยภาพของทำเลในอนาคต ส่วนแนวสูงจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องของทำเล CBD ของกรุงเทพฯ สำหรับบริษัท เฉลิมนคร จำกัด จะพัฒนาโครงการประเภทอื่นๆ รวมไปถึงโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ในอนาคตด้วย”นายสุนทร กล่าว

 

 

ตั้งเป้าปี66แต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

และจากการรุกตลาดเข้ามาในพื้นที่ซีบีดีมากขึ้น การเฟ้นหาบุคลากรที่เป็นมืออาชีพมาร่วมงานจึงมีความจำเป็นอย่างมาก โดยที่ผ่านมาได้มีการดึงผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การก่อสร้าง และการซื้อที่ดิน จากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาดหลักทรัพย์มาเสริมทีมอีกกว่า 10 คน  โดยแผนธุรกิจภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้รวม15,500 ล้านบาท แบ่งเป็นจากแนวราบและแนวสูง ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ50:50 หรือมีอัตราเติบโต15-20%ต่อปี

 

ทั้งนี้ในอนาคตบริษัทฯยังรุกการพัฒนาโครงการย่านใจกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะทำเลสุขุมวิท ไม่เกินอ่อนนุช ซึ่งวางงบซื้อที่ดินปีละ 500-600 ล้านบาท/ปี แต่ละแปลงต้องมีขนาดตั้งแต่ 2 ไร่บวกลบ ซึ่งชูจุดขายบ้านเย็นอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้บริษัทฯยังมีที่ดินสะสมของครอบครัวที่นครราชสีมา ระยอง(บริเวณหาดแม่รำพึง) และสมุทรปราการ อีก 4-5 แปลง รวมประมาณ 300-400 ไร่ โดยเฉพาะที่หาดแม่รำพึง  จ.ระยอง นั้นมีที่ดินห่างจากทะเลเพียง 200 เมตรขนาด 2 ไร่ และ 6 ไร่ ที่ซื้อไว้เกือบ 20 ปี ถือครองโดยบริษัท เฉลิมนคร จำกัด ซึ่งหากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ก็อาจจะนำมาพัฒนา

 

นอกจากนี้ภายในปี 2566 ยังมีแผนที่จะนำบริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ด้วย

 

ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และย่างก้าวครั้งใหม่ของกลุ่ม”สถาพร”ที่ขยายไลน์ธุรกิจมาพัฒนาคอนโดฯในเมือง ชิงส่วนแบ่งตลาดรายใหญ่และรายกลาง รวมไปถึงธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวในอีกอนาคต