พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯแย้มปลายปี61เตรียมจับมือพันธมิตรต่างชาติ นำที่ดินเช่าระยะยาวย่านรัชดาฯผุดธุรกิจรีเทล เผยหลังเซ็นสัญญาร่วมทุน Sekisui นำร่องสร้างบ้านดีไซน์ใหม่ระดับไฮเอนด์ 5 ทำเลเดิม หลังบ้านHEIM ไม่ตอบโจทย์ ตั้งเป้า 3 ปีขึ้นแท่นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 4,000 ล้านบาท/ปี ครึ่งปีหลังเปิด 17-18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท ล่าสุดดึง 3 พันธมิตรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาโครงการสู่การเป็น Smart City

 

 

นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า ในปลายปี2561 นี้บริษัทฯจะมีการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวต่างชาติ ในการพัฒนาโครงการประเภทธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรองรับอยู่แล้ว 2 แปลงๆละ 20 ไร่ คือ บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก บริเวณห้างจัสโก้เดิมติดกับบิ๊กซี รัชดาภิเษก และแปลงตรงกันข้ามติดแยกเทียมร่วมมิตร และที่ดินของกลุ่มแหลมทองสหการ ซึ่งทั้ง 2 แปลงนี้บริษัทเช่าไว้เมื่อกว่า 10 ปีก่อน จากบริษัท พรอม พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ระยะเวลาเช่า 30 ปี ซึ่งจะใช้ที่ดินดังกล่าวมาพัฒนาเป็นโครงการค้าปลีก ซึ่งพันธมิตรกลุ่มดังกล่าวถือว่าเป็นรายใหญ่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

อย่างไรก็ตามในปี2561 นี้ PF ได้ประกาศร่วมทุนกับพันธมิตรอย่างชัดเจนไปแล้ว 3 รายคือ1. บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด จากญี่ปุ่นร่วมทุนกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมบริษัทในเครือคือ บริษัท  แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือGRAND 2. กลุ่มฮ่องกงแลนด์ ที่ร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ระดับบน  และ3. Sekisui จากญี่ปุ่น ที่มาร่วมดำเนินการก่อสร้างบ้านในโครงการบ้านระดับไฮเอนด์ ระดับราคากว่า 20-100 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้แทนบ้านHEIM ของ SCG เบื้องต้นจะนำไปพัฒนาในบ้านเดี่ยว 5 ทำเลเดิมในเฟสต่อเนื่องของPF คือ สุขุมวิท77,รามคำแหง,แจ้งวัฒนะ,กรุงเทพกรีฑาและรัตนาธิเบศร์   โดยการร่วมทุนกับ Sekisui ในครั้งนี้ PF ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำตลาดบ้านระดับไฮเอนด์ ภายในระยะเวลา 3 ปี และมีส่วนแบ่งตลาด 4,000 บาท/ปี หรือจำนวน 200 ยูนิต คิดเป็น 20% ของยอดขายรวม จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาด 2,000 ยูนิต หรือคิดเป็น 20% จากยอดขายรวม

 

“การร่วมทุนในครั้งนี้จะทำให้บ้านระดับราคากว่า 20-100 ล้านบาท เปลี่ยนไป โดยมีเทคโนโลยีที่ดีจาก Sekisui มาเสริมความแกร่ง โดยเราจะช่วยเสริมดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของPF ให้ทันสมัยและเป็นที่ต้องการของลูกค้าคนไทยมากขึ้น เนื่องจากรูปแบบบ้านจะมีความเป็นไทยมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน ไม่มีฝุ่นละออง ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดทำมาก่อน”นายชายนิด กล่าว

 

ส่วนแนวโน้มยอดขายในครึ่งปีแรก 2561 บริษัทคาดว่าจะทำได้อยู่ที่ 8,800 ล้านบาท หรือเติบโต 30-40% จากครึ่งปีแรกของปีก่อน หลังจากที่ยอดขายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้ว 7,500 ล้านบาท  โดยได้เปิดตัวใหม่ 5-6 โครงการ รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด และสามารถทำยอดขายได้ดี ประกอบกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขายสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 17,000 ล้านบาท  โดยแบ่งสัดส่วนยอดขายเป็น 40% ในครึ่งปีแรก และ 60% ในครึ่งปีหลัง

 

นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายของโครงการหรูระดับราคา 20-100 ล้านบาท/ยูนิต เพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี เพื่อผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มบ้านหรูราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไปภายในปี 2563 โดยที่มีพันธมิตร คือ ฮ่องกงแลนด์ ช่วยเสริมศักยภาพและผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายได้

 

 

ด้านนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ PF กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่อีก 17-18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 14-15 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุนให้ยอดขายในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรกได้

 

ขณะที่รายได้ในปี 2561 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้จากการขายอสังหาริทรัพย์อยู่ที่ 15,000  ล้านบาท จากเป้าหมายรายได้รวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้อีก 5,000 ล้านบาท มาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมและการขายที่ดินเปล่า โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 3,000 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีในปัจจุบันกว่า 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น Backlog ของโครงการแนวราบ 2,000 ล้านบาท รับรู้ในปี 2561 ทั้งหมด และ Backlog ของโครงการคอนโดมิเนียม 3,200 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ 1,000 ล้านบาท ซึ่ง Backlog ที่จะรับรู้เข้ามานั้นเป็นส่วนหนึ่งช่วยหนุนรายได้ไนปีนี้ให้เป็นไปตามเป้า ส่วน Backlog ที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2562 ทั้งหมด

 

 

 

ล่าสุดมีแนวคิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาโครงการสู่การเป็น Smart City ภายใต้แนวคิด “เพอร์เฟค สมาร์ท ซิตี้” ด้วยการร่วมมือกับ 3 พันธมิตร คือ1. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส”นำเครือข่าย AIS NB-IoT มาพัฒนาเป็นโซลูชันส์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อช่วยบริหารจัดการภายในโครงการและยกระดับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล ให้บริการแบบครบวงจร ทั้งอุปกรณ์ แอปพลิเคชั่น ดิจิทัลแพลตฟอร์ม และเครือข่าย NB-IoT โดยพัฒนาเป็น One Single Platform เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการ และทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยโซลูชันส์ภายนอกบ้าน (Smart City) จะเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ในโครงการ โดยเน้นเรื่องความสะดวก ปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ที่สำคัญ ยังช่วยลดค่าใช้จ่าย เช่น ประหยัดไฟได้ถึง 50% เป็นต้น  สำหรับโซลูชันส์ภายในบ้าน (Smart Home) เป็นการเปลี่ยนบ้านทั้งหลังให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถควบคุมและสั่งการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชั่น

 

2.บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ภายใต้แนวคิด ‘เพอร์เฟค สมาร์ท ซิตี้’ ซัมซุง นำเสนอนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยด้วยผลิตภัณฑ์ที่ยกระดับคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ทีวี 4K UHD, ซาวด์บาร์, Robot Wi-Fi และ เครื่องซักผ้าแบบ Wi-Fi  ที่จะช่วยมอบความสะดวกสบายต่อการอยู่อาศัยมากขึ้น และ 3.โมไบค์ (Mobike)ให้บริการจักรยานอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี NB- IoT  ในทุก โครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค

 

 

โดยเทคโนโลยี ดังกล่าวในระยะแรกจะนำมาใช้กับคอนโดฯแบรนด์ ‘เมโทรลักซ์’ ทั้ง 4 โครงการ และแนวราบแบรนด์ มาสเตอร์ พีซ,เพอร์เฟค เพลส และเพอร์เฟค พาร์ค และจะนำมาใช้ได้ครบทุกภายในปี 2562 นี้ ซึ่งหากเป็นแบรนด์ที่มีราคาถูกก็จะทำเฉพาะบางเทคโนโลยีไปใช้เท่านั้น