เพียง 9 ปีที่อยู่บนเส้นทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI มีการเติบโตที่โดดเด่น ด้วยเหตุผลหลักๆดังนี้ 1) ผลประกอบการที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในไตรมาส 1/2561 มีกำไรสุทธิ 488.6 ล้านบาท(ลบ.) โตกว่า 184% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560 มียอดขาย (Presale) 5,090 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 255% จากช่วงไตรมาส1/2560 มีBacklog รองรับรายได้แล้วกว่า 70% จากเป้าที่ตั้งไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และเปิดโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท

 

2) ปัจจัยบวกการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ที่ปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทซึ่งก็มีทั้งคอนโดมิเนียมและธุรกิจบ้านจัดสรร และ 3) การขยายสู่ธุรกิจอื่นๆเพื่อสร้างรายได้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง อาทิ พรีโม่ พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น และล่าสุดเปิดตัว “วัน ออริจิ้น”บริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income Business) กลุ่มธุรกิจเหล่านี้จะเป็นขาหยั่งให้ ออริจิ้นฯเติบโตอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ

 

 

“วัน ออริจิ้น” คือบริษัทใหม่ที่จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาทได้ “กมลวรรณ วิปุลากร” มือทองธุรกิจโรงแรมเข้ามานั่งบริหารในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่พร้อมติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูสโดยตั้งเป้าหมายว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (พ.ศ.2561-2565)  ลงทุน 2 หมื่นล้านบาท

 

ประเภทธุรกิจที่จะลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่ม Accommodation เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2.กลุ่มสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก (Office & Retail) และ 3.กลุ่มธุรกิจอาหาร (Foods) โดยจะให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจ Accommodation 70% และอีก 2 กลุ่มที่เหลือรวมกัน 30%

 

“เราตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้กับเราประมาณ 3 หมื่น ล้านบาท จะช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น Top 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส” กมลวรรณ กล่าว

 

เงินทุนที่ใช้ลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรก จะมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.เงินทุนจากบริษัทแม่ ORI  2.เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ซึ่งเคยประกาศไปแล้ว และ 3. บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย

 

สำหรับกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้นนั้น “จตุพร ผิวขาว” กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน ออริจิ้น เน้นเกาะทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็น 2 ทำเลศักยภาพที่ORIให้ความสำคัญอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความต้องการของผู้บริโภคที่มีศักยภาพในหลายเซ็กเมนท์ ขณะเดียวกัน ยังวางแผนเข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อีกด้วย รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและที่ดินแต่ละแปลง

 

 

กลยุทธ์การเติบโตจะมีทั้งการจ้างเชนระดับโลกเข้ามาบริหาร การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และความต้องการของฐานลูกค้า กลยุทธ์ทั้งหมดจะเป็นส่วนสำคัญช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

เบื้องต้น คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี จะมีการพัฒนาโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ทั้งหมด 15 แห่ง ทั้งในกลุ่มลูกค้า corporate และ leisure รวมจำนวนห้องพักกว่า 4,000 ห้อง ส่วนของอาคารสำนักงานและร้านค้าอีก 10 แห่ง รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 ตารางเมตร (ตร.ม.)

 

ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญาและนำแบรนด์ของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) โดยจะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก

 

การใช้แบรนด์ระดับโลกจากต่างชาติ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเเข้าถึงลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับอยู่แล้วในระดับโลก