พรีบิลท์ผนึก2พันธมิตรญี่ปุ่น ร่วมทุนพัฒนาอสังหาฯระยะยาวปีละ 1-2 โครงการ นำร่อง REN Sukhumvit 39” มูลค่า 2,600 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลต้นไตรมาส4/61 นี้ ทั้งตั้งบริษัทลูกพัฒนาอสังหาฯ100% ด้านชินวะฯเผย 3 ปาร์ตี้ช่วยเสริมความแกร่ง คาดดันยอดขายจบภายใน 4 เดือน อนาคตสนผุดแนวราบในกทม.-ปริมณฑล

 

 

นายวิโรจน์ เจริญตรา รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน)หรือ PREB เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 2561จะมีอัตราการเติบโต 10%  โดยเฉพาะในปีหน้า จะมีการประมูลและเปิดตัวโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการปรับราคาค่าก่อสร้างมากขึ้นประมาณ 5% ตามราคาวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันที่จะปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันค่าแรงก็จะมีการปรับขึ้นอีกเป็น 325 บาท/วัน ซึ่งในส่วนของบริษัทคงจะมีการปรับราคาขึ้นในปลายปีนี้ และในปี2562 หากโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐสามารถผลักดันออกมาได้มาก ก็จะยิ่งทำให้ภาพรวมตลาดรับเหมาก่อสร้างเติบโตมากยิ่งขึ้น

 

โดยในสว่นของบริษัทเองในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10% เท่ากับตลาดรวม ซึ่งในครึ่งปีหลัง 2561 จะเข้าประมูลงานใหม่อีกมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานของภาครัฐและเอกชน โดยคาดหวังว่าจะได้รับงาน 50% ของมูลค่างานที่เข้าประมูล

 

ทั้งนี้ในส่วนของการพัฒนาโครงการอสังหาฯนั้นภายหลังจากที่ตนประกาศแยกตัวจากบริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด(มหาชน) ก็หันมาร่วมทุนกับพันธมิตรในแวดวงอสังหาฯพัฒนาเป็นรายโครงการไป ล่าสุดบริษัทได้ตั้งบริษัท พรีบิลท์ โฮลดิ้ง จำกัด เข้าไปถือหุ้นกับ กับ ชินวะ กรุ๊ปและบริษัท พรีแซนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ในสัดส่วน 49:26:25 ตามลำดับ ด้วยการก่อตั้งบริษัท ชินวะ เอส39 จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท  เพื่อพัฒนาโครงการ “REN Sukhumvit 39” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 30-66 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาขายเริ่มต้นที่ 200,000 บาทเศษขึ้นไป/ตารางเมตร หรือตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ก่อสร้างด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ” โดยจะเปิดตัวประมาณปลายไตรมาส3/2561 หรือต้นไตรมาส4/2561 คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 4 เดือน

 

 

นอกจากนี้พรีบิลท์ฯยังได้ตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯเอง 100% ภายใต้ชื่อ บริษัท อีส แอม อาร์ จำกัด คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ซอยสุขุมวิท26 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 300 ตารางวา   โดยแต่ละยูนิตจะมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 40-75 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 900 ล้านบาท ส่วนราคาขายยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเปิดการขายในไตรมาส4/2561

 

“นโยบายการดำเนินงานของเรานั้นจะร่วมทุนในการพัฒนากับพันธมิตรปีละประมาณ 600-700 ล้านบาท แต่หากพัฒนาเอง ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อย จะใช้เม็ดเงินลงทุนปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท”นายวิโรจน์ กล่าว

 

 

นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์)จำกัด กล่าวว่า ด้วยนโยบายของชินวะ กรุ๊ป นั้นต้องการสร้างพันธมิตรใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำกัด โดยการร่วมทุนจะดูที่สินค้าที่จะพัฒนาเป็นหลัก หากมีแนวความคิดเดียวกันก็จะเข้าไปร่วมทุนด้วย  เพื่อนำเสนอโครงการอสังหาฯที่ดีต่อผู้บริโภคคนไทยและต่างชาติ

 

สำหรับโครงการ“REN Sukhumvit 39”นั้น จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อลงทุนในสัดส่วน 50:50 และมีแผนที่จะนำโครงการดังกล่าวไปขายในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และญี่ปุ่น โดยเฉพาะญี่ปุ่นจะเน้นการทำตลาดแนวใหม่ ที่เน้นการขายสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะ

 

ซึ่งการร่วมทุนกับอีก 2 พันธมิตรดังกล่าวจะเป็นการร่วมทุนระยะยาว เพราะต่างมีความชำนาญที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะมาช่วยเสริมความแกร่ง โดยชินวะ กรุ๊ป มีความชำนาญด้านนวัตกรรม “รูเนะสุ”หรือการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคานทั้งโครงการ รวมไปจนถึงการปรับเปลี่ยนฟังก์ ชั่นการใช้พื้นที่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น,พรีบิลท์ ชำนาญเรื่องการก่อสร้าง และพรีแซนท์ เป็นบริษัทอสังหาฯยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นอันดับ1 ของคันไซ และเป็นที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น

 

โดยหลังจากที่เปิดตัวโครงการ“REN Sukhumvit 39”แล้ว ก็จะมีแผนที่จะพัฒนาคอนโดฯร่วมกันอีกปีละ 1-2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท หรือโครงการละประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีความสนใจที่จะพัฒนาโครงการแนวราบนวัตกรรมใหม่ ย่านกทม.-ปริมณฑล อีกด้วย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินที่มีศักยภาพ จึงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  ซึ่งอาจจะเปิดตัวในปี2561 นี้อย่างไรก็ตามคาดว่าหลังจากผ่านการลงทุนปีที่ 5 ไปแล้ว จะมีการพัฒนาโครงการทั้งแนวสูงและแนวราบ มูลค่าประมาณ 7,000 บาท/ปี

 

ด้านมร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า  ปัจจุบันตลาดคอนโดฯไทยมีการแข่งขันที่สูงมาก ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการชาวไทยมักจะพยายามหาพันธมิตรญี่ปุ่นมาร่วมลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง และการพัฒนาก็ยังไม่ค่อยมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะของการเทกโอเวอร์ด้านการออกแบบ  ซึ่งบริษัทฯไม่ได้เข้ามาเพื่อเน้นการลงทุน แต่ต้องการพัฒนาอสังหาฯ ที่มีการออกแบบภายในรูปแบบใหม่มานำเสนอ และมีความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง